นิยามของธรรมชาติตามสไตล์ อัด อวัช รัตนปิณฑะ ศิลปินผู้ก้าวเข้าสู่วงการสิ่งแวดล้อม ผ่านการปกป้องทะเลที่เขารัก 

นิยามของธรรมชาติตามสไตล์ อัด อวัช รัตนปิณฑะ ศิลปินผู้ก้าวเข้าสู่วงการสิ่งแวดล้อม ผ่านการปกป้องทะเลที่เขารัก 

ธรรมชาติสำหรับทุกคนคืออะไร… เราทุกคนต่างนิยามความหมายของธรรมชาติออกไปกันคนละแบบ ตามประสบการณ์ที่เราได้มีร่วมกับธรรมชาติ แน่นอนว่าการจะเข้าใจความหมายของธรรมชาติมากขึ้นเราก็ต้องใกล้ชิดกับมัน เดินทางเข้าไปหาธรรมชาติเพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากมัน 

วันนี้เราจึงอยากชวนทุกคนมารู้จักนิยามของธรรมชาติของ อวัช รัตนปิณฑะ หรือ ที่ทุกคนรู้จักกันในนามของ ‘อัด’ นักแสดงและนักร้อง ที่เราเชื่อว่าหลายคนต้องคุ้นกับผลงานของเขาเป็นอย่างดี ทั้งผลงานหน้าจอและผลงานเพลง 

นอกจากบทบาทที่กล่าวไป เขายังมีอีกหนึ่งบทบาทที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม อย่าง การก่อตั้ง Save Thailay โปรเจกต์เพื่อการอนุรักษ์ทะเลไทย และยังมีโปรเจกต์เพื่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ อีกมากมาย โดยคุณอัดได้นำความชื่นชอบในการเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ธรรมชาติ มาเป็นจุดเริ่มต้นในการเริ่มทำเพื่อสิ่งแวดล้อม 

ครั้งนี้ Seub Interview มีโอกาสชวนคุณอัดมาพูดคุยกันถึงนิยามของธรรมชาติตามฉบับของตัวเอง ตลอดจนจุดเริ่มต้นในการลุกขึ้นมาปกป้องธรรมชาติที่เขารัก เพื่อส่งต่อธรรมชาติที่งดงามให้คนรุ่นหลังได้มีสถานที่แสนวิเศษเหล่านี้ไว้ใช้งานต่อไป 

อัด-อวัช รัตนปิณฑะ

คุณเริ่มสนใจธรรมชาติได้อย่างไร

จริง ๆ แล้ว อาจพูดได้ว่าจุดเริ่มต้นในความสนใจธรรมชาติมาจากความชอบส่วนตัวนี้แหละ เริ่มจากที่เราเป็นคนชอบเที่ยว โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ มันเหมือนเป็นการเปิดโลกของเราในการไปพบเจอธรรมชาติในหลายรูปแบบ แน่นอนว่าก็ต้องมีแบบที่ชอบมากเป็นพิเศษ นั่นก็คือ ทะเล 

พอเรารู้สึกชอบสถานที่ที่เป็นธรรมชาติแบบทะเลแล้ว ยิ่งเป็นการเปิดให้เราได้เห็นอะไรอีกมากมาย พูดง่าย ๆ เลย การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ มันก็ทำให้เราได้มองเห็นคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติมากขึ้น แล้วเราก็ยังเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกนะ อย่างเช่น จริง ๆ แล้ว ทะเลมันเกี่ยวข้องกับธรรมชาติอื่น ๆ อีกเยอะเลย มันมีความสัมพันธ์โยงกันไปมาอยู่ นอกจากนี้เวลาไปเที่ยวมันก็ได้ความสนุก ได้ลองค้นหาอะไรใหม่ ๆ พอไปบ่อย ๆ เข้า มันทำให้เราเหมือนเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ 

อะไรคือความประทับใจที่มีต่อธรรมชาติ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงตอบไปว่าความตื่นตาตื่นใจหรือความงดงามของธรรมชาติ แต่พอเราได้ไปเที่ยวบ่อยขึ้น ได้ใกล้ชิด ได้สัมผัสมันมากขึ้น ผมเลยรู้สึกว่าธรรมชาติมันสะท้อนอะไรบางอย่างกลับมาหาเรา ซึ่งสิ่งที่เราได้ก็คือการเข้าใจตัวเองมากขึ้น ธรรมชาติมอบพลังงานบวกให้กับเรา ในความคิดผม ผมคิดว่าธรรมชาติมันส่งผลต่อเมนทัลเฮลต์ของเราด้วย นี้แหละ… ผมเลยคิดว่ามันคือผลประโยชน์ที่ได้รับจากธรรมชาติ 

ทุกวันนี้เวลาไปเที่ยวก็ไม่ได้ไปแค่สวยแล้วจบแล้ว แต่เรายังไปเพื่อเรียนรู้อีกหลายมุมของธรรมชาติด้วย อย่างสัตว์ ต้นไม้ หรืออะไรก็ตามที่มอบพลังให้กับเรา 

“ธรรมชาติเติมไฟให้กับเรา…ไฟในการทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเราเอง”  

ธรรมชาติเติมไฟคุณยังไง

ปกติเวลาที่เราอยู่ในเมือง เราต้องเจอความวุ่นวายในการใช้ชีวิต ทั้งความเร่งรีบในการทำสิ่งต่าง ๆ แล้วก็ยังต้องเจอกับมลพิษอย่าง ฝุ่น ควัน หรือเสียงอีก ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกไม่สงบ แต่พอเราได้ไปอยู่กับธรรมชาติ ปัจจัยต่าง ๆ ที่ว่ามามันถูกเอาออกไป 

“ผมมองว่าธรรมชาติมีพลังพิเศษ มันมีเมจิค มอบพลังและความสงบให้กับเรา” 

นอกจากเติมไฟแล้ว การออกไปหาธรรมชาติยังเหมือนเป็นการไปพักผ่อนด้วยใช่ไหม

ใช่ครับ ทำไมหลายคนถึงบอกว่าการไปเที่ยวเหมือนได้ไปพักผ่อน ถ้าถาม…ผมผมก็ว่าจริงนะ มันต่างจากในเมืองเยอะเลย การได้อยู่กับพื้นที่สีเขียว อย่างภูเขาหรือป่าไม้ พื้นที่สีฟ้า อย่างแหล่งน้ำหรือทะเล เป็นต้น เสียงเองก็เป็นเสียงจากธรรมชาติ ไม่ใช่เสียงก่อสร้างหรือเสียงรถวิ่ง ที่เป็นมลพิษกับเรา ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น มีเวลาให้ตัวเอง และตกตะกอนความคิดกับตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องกังวลสิ่งรอบข้างเลย เพราะเสียงที่ธรรมชาติมอบให้เรา เราไม่ได้สร้างมันขึ้นมา ทำให้มันฮีลเราจริง ๆ หรือแม้แต่ใครที่รู้สึกสูญเสียตัวตนพอได้มาอยู่กับธรรมชาติ มันก็ช่วยให้เราได้ค้นพบส่วนที่หายไปของตัวเอง 

เวลาเดินทางแต่ละที เจออะไรใหม่ ๆ บ้าง

ผมว่าสิ่งใหม่ ๆ ที่เราเจอระหว่างไปเที่ยว นอกจากการค้นพบสถานที่และความสวยงามที่เราไม่เคยเจอแล้ว มันยังมีในเรื่องของมิตรภาพจากการเดินทางด้วย ผมได้เจอมิตรภาพมากมาย ได้เจอผู้คนที่หลากหลาย ทั้งชาวบ้านในพื้นที่หรือนักท่องเที่ยวที่เจอกันระหว่างทาง เอาจริง ๆ มันเป็นการเปิดบทใหม่ ๆ ของหน้าหนังสือการเดินทางของเรา เหมือนทำให้เรามีความสัมพันธ์หรือความทรงจำใหม่เกิดขึ้น 

อยากให้ขยายความคำว่า “ความสัมพันธ์และความทรงจำ” ได้ไหม  

อย่างที่กล่าวไป ความสัมพันธ์ที่ว่ามันคือการได้เจอผู้คนใหม่ ๆ หรือการเจอสิ่งใหม่ ๆ ตามธรรมชาติที่เราไม่เคยไป ก็นับเป็นความสัมพันธ์เหมือนกันนะ เช่น ตอนเราไปดำน้ำแล้วเจอปลากระเบนแมนตาหรือเต่าทะเล มันคือความสัมพันธ์ที่อยู่ในความทรงจำเรามาถึงทุกวันนี้ 

หรือพูดง่าย ๆ เลย ความสัมพันธ์เหล่านี้มันทำให้เราจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ไม่เคยลืม กลายเป็นความทรงจำที่ถูกฝังลึกลงไป และในอีกทางหนึ่งความสัมพันธ์ที่พูดถึงมันก็เป็นส่วนเสริมความทรงจำของเราเช่นกัน บางทีเวลานึกย้อนกลับไป เราจำได้ว่าธรรมชาติตรงนี้มันสวยงามมากเลย ความสัมพันธ์ที่กิดขึ้น มันก็ได้เข้ามาทำหน้าที่เสริมให้ความทรงจำนั้นมันดีมากขึ้น สำหรับผมแล้วมันคือเสน่ห์ของการเดินทาง 

แชร์ 3 สถานที่ ที่ชอบที่สุดหน่อย 

ที่แรกที่ผมชอบที่สุดคือ…อ้าวนุ้ย มันเป็นอ่าวเล็ก ๆ แถวกระบี่ ตอนไปเที่ยวที่นี้มันเป็นการไปแบบแรนดอม โดยพี่คนขับเรือเขาก็แนะนำเราว่ามันมีอ่าวนี้อยู่นะ ค่อนข้างลับพอสมควร จังหวะที่เข้าไป คือ อลังการมาก สวยงามมาก ข้างในไม่ได้ใหญ่มาก มีหาดเล็ก ๆ ให้พอนั่งพักนั่งเล่นกันได้ แล้วก็มีจุดที่ให้เราปีนขึ้นไปชมวิวบนยอด ซึ่งจุดนั้นสามารถมองเห็นความงดงามของอ่าวตรงนี้ได้ทั้งหมดเลย ทั้งน้ำทะเลสีฟ้า หินงอก หินย้อย ชายหาด เป็นที่ที่ไม่ได้คาดคิด แต่มันวิเศษมาก 

ที่ที่สองสำหรับผม คือ เชียงดาว ไปแบบไม่ได้คาดหวังอะไรเช่นกันเนื่องจาก ผมไม่ได้ชอบไปเที่ยวภูเขาเท่าไหร่ แต่พอไป เราได้เห็นเลยว่ามันสุดยอดมาก ๆ ด้วยสภาพแวดล้อม ความสวยงามของธรรมชาติตรงนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์และพืช ความหลากหลายทางชีวภาพ มันน่าสนใจสำหรับผมจริง ๆ อีกทั้งคนที่อาศัยบริเวณนั้นก็น่ารัก พวกเขามีแนวคิดที่น่าสนใจในการพัฒนาและดูแลพื้นที่ของตัวเอง ผมรู้สึกว่าเชียงดาวเป็นอีกที่ที่ดีมาก ๆ และอยากไปซ้ำ 

ที่สุดท้ายนี้ยากจังเลย… แต่ผมขอเลือกเกาะหลีเป๊ะแล้วกัน ในแง่ของการไปครั้งแรกแล้วว้าว ก่อนหน้านั้นเราจะเห็นแต่ภาพ พอได้ไปของจริง เรารู้สึกเลยว่า นี่หรอธรรมชาติ มันสวยได้ขนาดนี้เลยหรอ ภาพที่เห็นคือน้ำใสมาก บรรยากาศบนเกาะก็น่ารัก ยิ่งได้เจอคนพื้นที่ ยิ่งทำให้เห็นมุมอื่น ๆ ของเกาะหลีเป๊ะ ที่ไม่ใช่แค่ภาพจากบนอินเทอร์เน็ต พอนั่งเรือออกไปก็เจอน้ำตก เจอธรรมชาติที่มันสุดยอด มันมีความหลากหลายมากมายบนเกาะ ที่สำคัญผมยังคงให้เกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะที่ไปแล้วน้ำทะเลสวยที่สุดสำหรับผม 

เล่าถึงโปรเจกต์ Save Thailay ของคุณอัดกันบ้างดีกว่า เริ่มต้นได้อย่างไร แล้วทำอะไรบ้าง 

จุดเริ่มต้นในการทำโปรเจกต์ Save Thailay คือ เรามีความรู้สึกว่าเราอยากทำอะไรสักอย่างขึ้นมา เนื่องจากเราชอบทะเลมาก ๆ เราไปเที่ยวทะเลก็บ่อย เราไปดำน้ำก็บ่อย แล้วเราดำน้ำมาหลายปี จากที่เราได้ชื่นชมความสวยงามของมันเรากลับเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เห็นปัญหาเกี่ยวกับท้องทะเลเห็นขยะ เห็นปัญหาบนชายหาด ทุกครั้งที่เราไปทะเลความสวยงามเหล่านี้มันถูกบดบังด้วยน้ำมือมนุษย์ ผมจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ที่ผมเจอก็คือตอนที่ไปดำน้ำ เราเห็นขยะลอยมาต่อหน้าเรา เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย! มันมาถึงจุดนี้แล้วหรอ ประกอบกับเราเห็นข่าวสัตว์ตาย ข่าวมลพิษมากมาย ซึ่งมันไม่ได้ส่งผลแค่ทะเล แต่ส่งผลไปถึงวงจรอื่น ๆ ของโลก รวมถึงตัวมนุษย์เองด้วย

ตอนนั้นเราเลยรู้สึกแค่ว่าอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างจริง ๆ เพื่อพูดถึงประเด็นนี้ให้คนสนใจมากขึ้นโดยใช้เสียงที่เรามีในการทำมันขึ้นมา เราเลยอยากเป็นอีกเสียงหนึ่งในการทำให้พื้นที่ที่เรารักมีคนได้เห็นถึงปัญหาเหล่านี้มากยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาเข้าใจว่าปัญหาเหล่านี้มันเกิดขึ้นทุก ๆ วัน แรกเริ่มเดิมทีเราก็สร้างเพจนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความตระหนักต่อผู้คน และให้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้ทุกคนรู้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับทะเล มันก็มาจากฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น เราก็เริ่มทำอะไรที่มันง่าย ๆ และใกล้ตัวที่สุด เพราะเรามีแค่คนเดียวในการทำโปรเจกต์นี้ 

แล้วกิจกรรมที่ทำมีอะไรบ้าง 

หลัก ๆ ผมก็ทำหน้าที่เป็นสื่อ แชร์ข่าว และสร้างความตระหนักรู้ต่อคนทั่วไป บางทีก็มีลงไปเก็บขยะบ้าง ลงพื้นที่บ้างเล็กน้อย แต่ว่าช่วงที่เราทำโปรเจกต์นี้ เราได้มีโอกาสไปเรียนคอร์ส conservation driver ที่เกาะเต่า เพื่อที่เราอยากจะเข้าใจบริบทหรือระบบนิเวศของทะเลมากขึ้นแล้วเราก็อยากไปเจอคนที่เขาเรียนด้านนี้จริง ๆ ด้วย พอไปเรียนมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้มุมมองจากคนกลุ่มนี้เช่นกัน อีกอย่างเพราะมันเป็นโปรเจกต์ของเราคนเดียว เราอยากรู้อะไรเราก็ไปทำ ไปเรียนรู้ ไปอยู่ตรงนั้น มันก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ได้เห็นปัญหาที่อยู่ตรงนั้นมากขึ้น 

หลังจากที่ไปเรียนคอร์ส conservation driver คุณได้ทำอะไรเพิ่มเติมบ้าง

จากการไปเรียนครั้งนั้นก็นำพาเรามาสู่การได้เจอเพื่อน ที่หลังจากนั้นก็ได้มาทำโปรเจกต์ SOA Thailand ร่วมกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ตั้งขึ้นมาในประเทศไทย แต่มีเฮดควอเตอร์อยู่ที่อเมริกา โดยอันนี้จะเป็นกลุ่มเพื่อนที่เจอกันที่เกาะเต่าตอนไปเรียนนี้แหละ เราก็ชวน ๆ กันมาทำโปรเจกต์นี้ เพราะอยากทำแคมเปญหรือเป็นตัวแทนในการปกป้องทะเลที่เรารัก ทั้งนี้ก็ทำให้มันเป็นระบบระเบียบมากขึ้น มีการมันก็พัฒนาไปเป็นเพจ สร้างบุคลากร หลังจากนั้นก็มีการทำแคมป์สำหรับบุคคลที่สนใจ ถึงจุดหนึ่งเราก็ส่งต่อสิ่งที่เราทำให้คนอื่น ๆ ได้ด้วย 

พึ่งได้เข้าไปหน้า Instagram คุณอัดมา เห็นว่ามีรายการ Human Nature ด้วย ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมว่ามันคืออะไร 

อันนี้เป็นรายการท่องเที่ยวผมอยากทำขึ้นมาเอง โดยผมได้ทำโปรเจกต์นี้ร่วมกับกรมธรณีวิทยา เรารู้สึกว่ามันเป็นการท่องเที่ยวที่เราอยากจะนำเสนอนอกจากไปเที่ยวแล้วสวยงาม แต่เราอยากพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติด้วยว่า สองอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันและมันแยกจากกันไม่ได้ ตัวมนุษย์เองก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากธรรมชาติ เพราะเราต้องพึ่งพาอาศัยเขา ผมเลยอยากให้ Human Nature เป็นรายการที่ยังมีความสนุกในแง่ของการไปเที่ยวอยู่ และก็ต้องได้เห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติระหว่างการเดินทางด้วย

มีแพลนที่จะทำโปรเจกต์อื่น ๆ เพิ่มเติมไหม 

จริง ๆ ในอนาคตก็มีอะไรที่เรายังอยากทำอยู่ แต่ก็คงต้องใช้เวลาในการตกตะกอนแล้วก็คิดพอสมควร ถึงอย่างนั้นก็มีฟุ้ง ๆ ไว้บ้าง เป็นโปรเจกต์ที่เราอยากทำกับเพื่อน เกี่ยวกับการท่องเที่ยวนี่แหละ แต่เป็นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน แบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริง ๆ อยากให้ไปเที่ยวแล้วไม่ได้แค่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้เข้าใจความสำคัญและคุณค่าของธรรมชาติ บวกกับเป็นการใช้ธรรมชาติบำบัดไปในตัวด้วย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เรากำลังคิด ๆ แล้วก็คุยกับเพื่อนไว้อยู่ เหมือนเราอยากทำเป็นทริปขึ้นมา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากสร้างให้เป็น community สำหรับการไปเจอคนใหม่ ๆ เลย 

“การได้เจอคนใหม่ ๆ มันก็เป็นอีกหนึ่งพลังของเราเหมือนกัน และยังช่วยให้เราเชื่อมตัวเองกับธรรมชาติได้ง่ายมากขึ้นด้วย” 

แน่นอนว่าการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มันเป็นการเติมไฟให้ตัวเอง ผมคิดว่าปัจจุบันการอยู่ในเมืองทุก ๆ วันนี้มันก็เหนื่อยมันก็ยากลำบากมากพอแล้ว แต่ถ้าเราสามารถทำอะไรที่เป็นหนึ่งในทางเลือกให้คนสามารถเข้าถึงธรรมชาติเพื่อเติมไฟหรือเพื่อพักผ่อนได้ เราก็อยากทำเป็น แต่ก็อย่างที่บอก อันนี้มันเป็นโปรเจกต์ที่ผมฟุ้ง ๆ ไว้เท่านั้น ซึ่งโปรเจกต์นี้ก็ยังเบสในเรื่องของ Human กับ Nature เหมือนเดิม 

จากที่ได้เห็นอยู่ตลอดว่าคุณอัดเป็นคนที่สนใจการเมืองมาก เลยอยากฟังมุมมองคำว่า “การเมืองดี สิ่งแวดล้อมดี” 

ผมว่าจริง ๆ แล้วการเมืองมันเป็นพื้นฐานของทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อม มันเป็นเบสสำคัญของการใช้ชีวิตของมนุษย์ เพราะถ้าการเมืองดี ระบบดี เศรษฐกิจดี มันก็จะส่งผลดีมาถึงส่วนอื่น ๆ ด้วย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าเรามีรัฐบาลที่ดี นโยบายต่าง ๆ ที่ออกมามันก็จะเกื้อหนุนและสามารถรองรับเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น โดยที่ไม่ผลักภาระให้ประชาชนเป็นผู้แบกรับหน้าที่ในการเรียกร้องเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือต้องออกมารณรงค์เรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อมจำนวนมากขนาดนี้ 

แล้วมองภาพการรณรงค์หรือเรียกร้องเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไรบ้าง

ทุกวันนี้มันก็เป็นเรื่องที่โอเคที่ได้เห็นภาพประชาชนหรือคนที่มีทุนทรัพย์ มีกำลัง มีพริวิเลจในสังคมเป็นคนที่ออกมาสนับสนุนและพูดเรื่องนี้ แต่อยากให้พิจารณาว่าแท้จริงแล้วถ้าระบบการเมืองมันดี ทุกคนมีการเข้าถึงทรัพยากร basic human right หรือ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่ครบถ้วน มีพื้นฐานการเงินที่โอเค เรื่องสิ่งแวดล้อมมันจะเป็นเรื่องที่เข้าถึงทุกคนโดนอัตโนมัติเลย แต่ ณ วันนี้มันไม่ใช่ เพราะการเมืองมันยังไม่ดี มันก็ทำให้เห็นชัดนะครับ ว่ากลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นกลุ่มคนที่มันไม่ใช่กลุ่มคนที่หาเช้ากินค่ำ แต่เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังหรือทรัพยากรในการเปลี่ยนแปลง 

ผมมองว่ามันก็ดี แต่สุดท้ายแล้วต้องอย่าลืมว่าการเรียกร้องสิ่งเหล่านี้มันต้องเรียกร้องถึงรากเหง้าของปัญหาด้วย ผมเลยมองว่าการเมืองและสิ่งแวดล้อมมันแยกจากกันไม่ได้ คือถ้าคุณมีกำลัง มีเวลา มีทุนทรัพย์ในการทำในการหาทุนทำสิ่งต่าง ๆ ก็จงทำต่อไป และก็ต้องอย่าลืมว่าถ้ารากฐานมันไม่แข็งแรงมากพอ มันก็ไม่สามารถที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้ 

แล้วการเป็น influencer มีส่วนมากน้อยแค่ไหนต่อการเรียกร้องด้านสิ่งแวดล้อม 

ถามว่ามีผลมากน้อยแค่ไหน…ผมคิดว่ามันก็คงมีผลในระดับนึงเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่ามันจะอิมแพคมากแค่ไหน อันนี้มันก็ต้องเริ่มต้นจากตัวเราก่อน ว่าเราเชื่อในสิ่งที่เราขับเคลื่อนหรือไม่ คือเราไม่จำเป็นต้องมองว่าเราเป็นศิลปินหรือคนดังก็ได้ จากประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้มา ทั้งหมดมันเริ่มมาจากความเชื่อของตัวผมเอง มันเริ่มจากสิ่งที่เราอยากจะทำมันเอง สุดท้ายถ้าคุณคุณเป็น influencer ที่ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่คุณขับเคลื่อน สักวันนึงคนก็จะไม่ได้เชื่อในสิ่งที่คุณพูดหรือพยายามจะสื่อสาร 

ดังนั้นผมมองว่าการเป็น influencer มันมีผลขนาดนั้นหรือไม่ มันก็มี แต่มันจะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับจุดยืนของคุณว่ามีจุดยืนต่อเรื่องนั้นอย่างไร 

แปลว่าไม่จำเป็นต้องเป็น influencer ก็สามารถเริ่มทำเพื่อสิ่งแวดล้อมได้

ใช่ครับ…สุดท้ายแล้วไม่เกี่ยวกับว่าคุณเป็นใคร มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียมากเท่าไหร่ เพราะมีหลายคนเหมือนกันที่เขาทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและเป็นคนทั่วไปมาก่อน แต่เขาก็ประสบความสำเร็จและกลายเป็น influencer ด้านนี้ได้เหมือนกัน 

“อยากให้มองว่าพื้นที่นี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นที่สำหรับทุกคนที่อยากจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้มันเกิดขึ้น”

อยากฝากอะไรถึงคนอ่านเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไหม 

สิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติมันเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตเราทุกวันตั้งแต่เรื่องของ อากาศ น้ำ หรือทรัพยากรต่าง ๆ ทุกอย่างมันเกี่ยวพันกันหมด รวมถึงความเป็นอยู่ของเราด้วย แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องไกลตัวเราและทำให้เราแคร์มันน้อยลงด้วยปัจจัยอื่น ๆ ที่แทรกเข้ามา จนเราต้องคิดถึงเรื่องความเป็นอยู่ก่อนเป็นอันดับแรก

แต่ก็อยากให้ทุกคนคิดเสียว่าสิ่งแวดล้อมมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ชีวิตเรา ไม่อยากให้ลืมตรงนี้ไป เนื่องจากเราทุกคนก็สามารถทำได้คนละเล็กคนละน้อย อย่าง การลดการใช้พลาสติก เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันที่เราคุยกันว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถทำได้ เพราะปัญหาด้านคุณภาพชีวิต ดังนั้น ถ้าจะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็ต้องพูดเรื่องการเมืองด้วย ไม่อยากให้มันแยกออกจากกันไปเลย 

“ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่า ถ้าการเมืองดี สิ่งแวดล้อมก็จะดี”

ผู้เขียน

+ posts

หนุ่มน้อยผู้หลงรักความไม่สมบูรณ์แบบ ออกเดินทางเพื่อเก็บภาพความงดงามของธรรมชาติ และชอบอ่านวรรณกรรมเป็นชีวิตจิตใจ