[ก้าวสู่ปีที่ 31] แสงเทียนแห่งเดือนกันยายน

[ก้าวสู่ปีที่ 31] แสงเทียนแห่งเดือนกันยายน

ตั้งแต่มาร่วมงานกับมูลนิสืบนาคะเสถียร เดือนกันยายนจะเป็นเดือนพิเศษของชีวิตผมเสมอในทุกๆ ปี

คืนที่ 31 สิงหาคมต่อมาถึงเช้ามืดของ 1 กันยายน เป็นคืนรำลึกการจากไปของ “สืบ นาคะเสถียร” ผู้ชายซึ่งเป็นยิ่งกว่าแรงบันดาลใจตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา (ผมมารับเป็นผู้บริหารของมูลนิธิในปีนี้) 

ผมไปร่วมงานรำลึกนี้ทุกปี ด้วยหน้าที่การงานที่ทำอยู่ทำให้ต้องมาจัดงานทำบุญและกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และก็มีคนมาร่วมมากบ้างน้อยบ้างตามแต่สถานการณ์ 

ปีแรกๆ ที่ผมมาทำงานก็เป็นการไปร่วมงานกับเขาไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมคิดร่วมจัดงานอะไร 

ปีต่อมาเขาชวนขึ้นพูดอะไร เล่าอะไรบ้าง บางปีทำงานกับฝ่ายราชการมีอะไรคั่งค้างติดขัดกันบ้างเขาก็ให้ไปนั่งเฉยๆ 

แต่พวกเราชาวมูลนิธิสืบนาคะเสถียรมีประเพณีร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ จะต้องไปจุดเทียนรำลึกที่รูปปั้นสูงเท่าครึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นมาทุกปี ใครไปร่วมงานเราก็ชวนๆ ไปจุดเทียนกัน 

อาจารย์รตยา จันทรเทียร ที่ทำหน้าที่ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียรมาก่อนผมก็จะเป็นผู้นำกล่าวรำลึกคุณงามความดีของคุณสืบ และหยดน้ำตาเทียน ตั้งเทียนเล่มเล็กให้ส่องแสงวับแววอยู่ในความมืด หากมีหลายแท่งก็จะส่องสว่างเห็นรูปปั้นคุณสืบหยัดยืนทาบราตรีอย่างมั่นคง หลายปีที่มีฝนโปรยเป็นฝอยฝ้า แต่ผมจำได้ว่าไม่มีสักปีเดียวที่เราไม่จุดเทียน

วินาทีที่เทียนเล่มแรกถูกจุดขึ้นและถูกจุดต่อกันไปในความมืดยังเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังเล็กๆ ที่กล้าหาญ ส่งต่อกัน และเปล่งแสงร่วมกันเสมอมา

ผมจำได้เมื่อราวสิบปีที่แล้ว มีอยู่ปีหนึ่งเราไม่ได้มีส่วนจัดงานอะไรมาก เพียงแต่ไปร่วมงานทำบุญตอนเช้าอีกวันหนึ่ง ผู้จัดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจัดค่ายเด็กเยาวชนที่อาคารอนุสรณ์สถานใกล้ๆ รูปปั้นคงลืมว่าเราจะไปจุดเทียนกันก็สั่งเลิกกิจกรรมให้เด็กๆ หลายสิบคนในค่ายไปเข้าที่พัก ใครต่อใครที่มาร่วมงานก็เดินตามไปกันหมด อาจารย์รตยา นำพวกเราที่เหลือไม่กี่คนไปจุดเทียน 

จำได้แม่นว่า คืนนั้นเทียนเล็กๆ แปดแท่งยังส่องสว่างกลางความมืดมิดแห่งราวไพร ไม่รู้คืนนั้นหรือเปล่าที่เป็นจุดเริ่มให้ผมคิดถึงการทำให้การจุดเทียนเป็นงานสำคัญที่ให้คนมาร่วมใช้เป็นสัญลักษณ์ของการรำลึกถึงคนที่กล้าใช้ชีวิตของตนเองทำงานหนักเพื่อป่าเขา ให้วิถีและวิธีทำงานเป็นตำราเล่มใหญ่ให้ผู้คนทำตาม จนกระทั่งกล้าปลิดชีพตนเองเพื่อเรียกร้องให้สังคมไทยรู้จักกับคำๆหนึ่งนั่นคือคำว่า “อนุรักษ์”

บางปีผมหลบเลี่ยงการนั่งร่วมกิจกรรมมานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่หน้ารูปปั้นคนเดียว คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปถึงงานที่จะต้องทำให้ผู้ชายในรูปปั้นคนนี้ เหมือนชวนพี่สืบมาร่วมคิด ร่วมบันดาลใจให้ไปด้วยจนกิจกรรมในอาคารเขาเสร็จสิ้น มีคนเริ่มจุดเทียนเดินนำออกมาผมเฝ้ามองแสงเทียนอยู่ในความมืดกลางฝอยฝนพรำ ผมเคยบันทึกไว้ด้วยว่า

“ไม่ว่าแสงเทียนเล็กน้อยเพียงใดเมื่อถูกจุดขึ้นขณะหนึ่งย่อมสามารถแผ่ไปในความมืด ในขณะเดียวกันผมไม่เคยเห็นความมืดใดที่กล้าหาญกรายเข้าไปในแสงเทียน”

นั่นก็หมายความว่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ นานา รวมถึงความคิดแตกต่างที่มุ่งทำลายทำร้ายธรรมชาติย่อมไม่อาจที่จะกรายรุกมาในความกล้าหาญที่จะประกาศตัวอนุรักษ์ปกป้อง หากจะแพ้ก็เพราะพลังของเราเองที่มีน้อยไปกว่าปัจจัยภายนอกอย่างฝนหนัก ลมแรง แต่ตัวความคิดฝ่ายมืดเองไม่มีทางที่จะเอาชนะแสงสว่างได้ แม้เทียนจะดับเราก็มีคนจุดขึ้นใหม่และส่งต่อถึงกัน หากยังเหลือเชื้อเจตนาแห่งสืบ นาคะเสถียรที่มั่นคง

ปีหลังๆ เราพัฒนาช่วงการจุดเทียนรำลึก เป็นงานแสดง แสงเสียง ขนาดเล็กๆ พอที่จะให้คนร่วมงานได้ยินแต่ไม่ถึงขั้นอึกทึกครึกโครมไปรบกวนสัตว์ป่า ผมช่วยเขียนบทขึ้นครั้งแรก ประชุมงานกับคนหนุ่มสาวที่เป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิสืบและออกแบบการเล่นไฟไปตามบ้านพักเก่าของพี่สืบ และขั้นบันไดปูนแปดขั้นที่เป็นสัญลักษณ์การทำงานหนักตลอดแปดเดือนของการมารับหน้าที่หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งของพี่สืบ ใส่ซาวด์เอฟเฟคเสียงป่าเขา ดนตรีไพเราะให้ผู้คนได้ร่วมย้อนเวลาไปสู่วินาทีที่พี่สืบปลิดชีวิตตัวเอง

แน่นอนว่าในซาวด์เอฟเฟคที่สำคัญย่อมมีไฮไลต์อยู่ที่เสียงกระสุนปืนนัดนั้น

และจากนั้นเราก็ชักชวนผู้คนที่ไปร่วมงานมาจุดเทียนรำลึกถึงพี่สืบกันโดยมีอาจารย์รตยา จันทรเทียรกล่าวนำ แต่ละปีอาจารย์รตยาก็จะกล่าวอะไรต่างๆ กันไปตามแต่สถานการณ์เรื่องป่าไม้ที่ดีขึ้นหรือน่าเป็นห่วง 

แต่อาจารย์มักขึ้นต้นคำพูดเสมอว่า “คุณสืบคะ พวกเรามาร่วมกันจุดเทียนรำลึกคุณสืบและอยากให้คุณสืบรู้ว่าพวกเรายังทำงานอนุรักษ์อยู่…”

ห้าหกปีหลังมานี้ การร่วมชมแสงเสียง และจุดเทียนรำลึกคุณสืบกลายเป็นงานประจำที่คนรักป่าจะมารวมกันนับร้อยๆ คน บางปีที่ตรงกับเสาร์อาทิตย์ก็น่าจะเป็นหลักพัน น่าชื่นใจว่าในแต่ละปีเพื่อนมิตรที่มาร่วมงานก็ยังเหนียวแน่นและปฏิบัติตามระเบียบต่างๆ ที่ในการพักค้างแรม ไม่รบกวนอะไรกับธรรมชาติจนมากเกินไป

ปีหลังๆ ผมไม่ได้ไปทำงานทางเทคนิคอะไรมากมายกับงานแสงเสียง ปล่อยให้ทางน้องๆ เจ้าหน้าที่มูลนิธิออกแบบงานกันเอง และชักชวนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาร่วมคิด และร่วมเข้ามาแสดงในเงาแสงสวยนั้นด้วย จนทำให้งานแสงเสียงของเราดูจะเข้มข้น และเป็นเครื่องมือสื่อสารที่น่าสนใจ และทรงพลังอย่างยิ่งในการเติมให้แนวร่วมคนรักษ์ป่าของเรายังมีแสงเทียนที่ไม่เคยดับไปจากใจ

ปีนี้เป็นปีพิเศษของผม ที่รับหน้าที่เป็นประธานมูลนิธิเป็นปีแรกต่อจากอาจารย์รตยา จันทรเทียร แต่โดยข้อตกลงระหว่างผมกับอาจารย์ก่อนงานผมขอร้องให้อาจารย์ยังคงเป็นผู้นำพวกเราในการจุดเทียนรำลึกถึงคุณสืบไปอีกในทุกๆ ปี เพราะอาจารย์ก็เป็นเสมือนสัญลักษณ์สำคัญของงานแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนผมมีงานอื่นๆ ที่ผู้คนเห็นหน้าค่าตากันจนเบื่อแล้ว แต่กระนั้นโชคชะตาก็ทำให้กำหนดนัดของเราพลาดผิด อาจารย์รตยาของผมป่วยและไม่สามารถมาร่วมงานได้ ซึ่งก็นับเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่คุณสืบเสียชีวิตนั่นเชียว และนั่นหมายถึงผมคงต้องทำหน้าที่นั้นแทน

ยอมรับครับว่าทำงานอะไรมาก็เยอะ ขึ้นเวทีอะไรมาก็มาก งานแบบนี้ไม่ใช่งานที่น่าเป็นห่วง หรือตื่นเต้นสำหรับผม แต่วินาทีที่แสงเสียงจบลง ตามสคริปต์งานจะให้ผมจุดเทียนพร้อมกับท่านหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งคนปัจจุบันและเดินไปยังรูปปั้นพี่สืบก่อนต่อเทียนไปสู่เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า ก่อนกระจายแสงเทียนแห่งค่ำคืนส่งต่อไปยังผู้ร่วมงานหลายร้อยคนในคืนนั้น 

ผมรู้สึกว่าเป็นภารกิจสำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของชีวิตทีเดียว

แสงเทียนกระจายไปอย่างรวดเร็ววิบวับราวดาวกลางทุ่งเดือนแรมมืด ผมพยายามทำหน้าที่แทนอาจารย์รตยาสื่อสารกับพี่สืบของพวกเราในการเล่าให้ฟังว่า 26 ปีที่ผ่านมาสังคมไทยมีการอนุรักษ์กันมากขึ้นขนาดไหน สิ่งที่พี่สืบอยากให้เห็นอย่างการมีป่าไม้ที่เป็นเขตอนุรักษ์ทางกฎหมายได้ถูกจัดตั้งและประกาศขึ้นได้ตามจำนวนพื้นที่ที่พี่สืบเคยบอกไว้แล้ว สวัสดิภาพสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่ามีคนเห็นความสำคัญและพัฒนาขึ้นมาก และที่สำคัญคือผ่านมาสามสิบปีที่พี่สืบช่วยชีวิตสัตว์ป่าที่เขื่อนเชียวหลาน และคัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจน บัดนี้ก็ยังไม่มีเขื่อนใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในป่าที่มีสัตว์ป่า และพรรณไม้ที่อุดมสมบูรณ์อีกเลย

ผมเล่าให้พี่สืบฟังว่าแม้ว่าจะมีการเสนอสร้างเขื่อนแม่วงก์ในป่าตะวันตกต่อเนื่องขึ้นไปไม่ไกลจากตำแหน่งที่เราจุดเทียนกัน แต่ก็มีผู้คนมากมายมหาศาลที่ออกมาร่วมกันคัดค้านตลอดมาตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว

ผมบอกกับพี่สืบ และผู้คนที่มาร่วมงานว่า ผมแน่ใจว่าพวกเราจะยังทำงานและต่อสู้กันต่อไป

ท่ามกลางแสงเทียนนับร้อยพันที่เราประกาศจะสืบทอดเจตนา สืบ นาคะเสถียร 

ผู้เขียน

Website | + posts

ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร (18 กันยายน 2558 - ปัจจุบัน)