เราอาจจะต้องใช้เวลากว่า 880 ปี ในการบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์มหาสมุทรของสหประชาชาติ 

เราอาจจะต้องใช้เวลากว่า 880 ปี ในการบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์มหาสมุทรของสหประชาชาติ 

ปัจจุบันได้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม อย่างรวดเร็ว โดยอาจกล่าวได้ว่าโลกของเราได้เปลี่ยนคำนิยามจาก ‘โลกร้อน’ (Global warming) เป็น ‘โลกเดือด’ (Global boiling) ไปเรียบร้อยแล้ว ความแปรปรวนเหล่านี้ได้ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงของมนุษย์ชาติในอนาคตที่อาจต้องเผชิญสภาวะที่เลวร้ายมากกว่านี้ 

ด้วยเหตุนี้เอง องค์กรสหประชาชาติจึงกำหนด เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ทั้ง 17 ข้อ ที่สะท้อนสามเสาหลักของมิติความยั่งยืน (Three Pillars of Sustainability) คือ มิติด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมกับอีกสองมิติ คือ มิติด้านสันติภาพและสถาบัน และมิติด้านหุ้นส่วนการพัฒนา ที่เชื่อมร้อยทุกมิติของความยั่งยืนไว้ด้วยกัน เป็นชุดเป้าหมายการพัฒนาระดับโลกหลังปี 2015 ที่รับรองโดย 193 ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2015 ครอบคลุมช่วงระยะเวลาที่ต้องบรรลุภายใน 15 ปี ได้เป็นทิศทางการพัฒนาที่ทุกประเทศที่ต้องดำเนินการร่วมกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 2016 ไปจนถึง ค.ศ. 2030  

การสร้างพื้นที่คุ้มครอง เพื่อสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพสิ่งมีชีวิตในน้ำ ได้ถูกกำหนดไว้ในเป้าหมายข้อที่ 14 การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Conserve and sustainably use the oceans, seas and marine resources for sustainable development) มีเป้าประสงค์ที่ครอบคลุมประเด็นหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทะเลและมหาสมุทร ทั้งด้านมลพิษ การบริหารจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรประมง เสริมสร้างการประมงที่ยั่งยืนและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

มหาสมุทรครอบคลุมพื้นผิวโลกมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ และมีความสำคัญต่อโลกของเรา เช่น การควบคุมสภาพอากาศ และการสนับสนุนรูปแบบชีวิตที่หลากหลาย สหประชาชาติได้ริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันกว้างใหญ่นี้ 

อย่างไรก็ตาม อัตราความก้าวหน้าในปัจจุบัน ต้องมีการดำเนินการที่รวดเร็วมากกว่านี้ และอาจต้องใช้เวลาถึง 880 ปีในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ สิ่งนี้เน้นให้เห็นช่องว่างที่สำคัญระหว่างความเร่งด่วนของความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและขั้นตอนการดำเนินการ 

การประชุม Our Ocean ครั้งที่เก้า ได้จัดขึ้นในเดือนเมษายน กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาทางแก้ไขและการอนุรักษ์ที่มีความจริงจังมากเพื่อยกระดับความร่วมมือระดับประเทศในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามของมหาสมุทรโลก 

หนึ่งในผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้คือ Angelo Villagomez นักอนุรักษ์ชนพื้นเมืองได้ทำงานวิจัยร่วมกับชนพื้นเมือง Chamorro ที่เกาะกวม (Guam) มาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยเขาได้มีความเห็นว่า “การอนุรักษ์มหาสมุทรได้สูญเสียแรงขับเคลื่อนในการปกป้อง 30 เปอร์เซ็นต์ ของมหาสมุทรภายในปี 2030 และจําเป็นต้องทําอีกมากเพื่อจัดการกับมิติของมนุษย์ในการอนุรักษ์ รวมถึงการรับประกันสิทธิ์การเข้าถึง ความเท่าเทียม และความยุติธรรม” 

ตามฐานข้อมูลพื้นที่คุ้มครองโลก ในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทั่วโลกเมื่อปี 2020 ในเดือนกุมภาพันธ์  7.91 เปอร์เซ็นต์ ของมหาสมุทรได้รับการปกป้อง ตัวเลขนั้นอยู่ที่ 8.01 เปอร์เซ็นต์ ในวันนี้ เพิ่มขึ้นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา  

ในอัตรานี้ การเพิ่มพื้นที่คุ้มครองมหาสมุทรทั่วโลกจาก 8 เปอร์เซ็นต์ เป็น 30 เปอร์เซ็นต์ จะใช้เวลาเพิ่มอีก 880 ปี พูดอีกอย่างคือ การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ภายในปี 2030 จะต้องกําหนดให้พื้นที่คุ้มครองทางทะเลในอัตราที่เร็วกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เกือบ 150 เท่า 

การเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์มหาสมุทรไม่ได้หยุดนิ่งเสมอไป การเพิกเฉยต่อการประกาศพื้นที่คุ้มครองเพิ่มด้วยเหตุผลของเศรษฐกิจ ในช่วงต้นของทศวรรษที่ผ่านมาคือ “น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ของมหาสมุทรได้รับการปกป้อง” แต่มหาสมุทรหลายล้านตารางกิโลเมตรได้รับการปกป้องในหลายปีต่อมา 

ภายในการประชุม Our Ocean เมื่อปี 2016 ผู้นําได้ประกาศการแต่งตั้งหรือขยายพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดและเป็นสัญลักษณ์มากที่สุดในโลก รวมถึง ทะเลรอสส์ (Ross Sea) เซนต์เฮเลนา (Saint Helena) และกาลาปากอส (Galapagos) ในช่วงปลายปี สหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ประกาศว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ของมหาสมุทรได้รับการคุ้มครอง 

ทะเลหลวงครอบคลุมสองในสามของมหาสมุทรของโลก แต่ปัจจุบันมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่มีสถานะได้รับการคุ้มครอง ดังนั้น สนธิสัญญาทะเลหลวงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายน 76 ประเทศและสหภาพยุโรปได้ลงนามในสนธิสัญญาทะเลหลวงขณะรวมตัวกันที่สหประชาชาติครั้งที่ 78 สมัชชาใหญ่ในนิวยอร์ก โดยหลังจากลงนามในสนธิสัญญาแล้ว แต่ละประเทศจะต้องให้สัตยาบัน จากนั้น เมื่อ 60 ประเทศให้สัตยาบันสนธิสัญญาแล้ว สนธิสัญญาจะมีผลบังคับใช้หลังจาก 120 วัน 

สนธิสัญญาฉบับนี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังล่าสุด ที่เปิดโอกาสให้กำหนด ผืนมหาสมุทร นอกเขตอํานาจศาลของประเทศเป็นพื้นที่คุ้มครอง แต่สนธิสัญญาต้องได้รับการให้สัตยาบันก่อน โดยแต่ละประเทศที่ลงนามจะต้องเรียกร้องให้เกิดการขับเคลื่อนการประมงระดับภูมิภาค เนื่องจากองค์กรอิสระเหล่านี้ไม่ได้รับคําสั่งในข้อตกลง 

โดยสรุปแล้วการบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์ เผยให้เห็นอุปสรรคสำคัญบางประการที่ต้องแก้ไข 

1. เจตจำนงทางการเมือง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมักจะอยู่เบื้องหลังการพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลหลายประเทศชะลอการดำเนินการตามมาตรการอนุรักษ์ที่เข้มงวด เนื่องจากกลัวผลย้อนกลับจากอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น การประมง น้ำมัน และเหมืองแร่ 

2. ทรัพยากรทางการเงินที่มีจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่มีความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล จำเป็นต้องมีเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างและรักษาพื้นที่คุ้มครองและบังคับใช้กฎระเบียบ 

3. กรอบกฎหมายที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการกำกับดูแลน่านน้ำระหว่างประเทศ ความขัดแย้งเหนือขอบเขตทางทะเลสามารถขัดขวางความพยายามในการอนุรักษ์ ทำให้การประกาศและการจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเลมีความท้าทาย 

4. ความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้นในการอนุรักษ์มหาสมุทร ถือเป็นความท้าทายระดับโลกที่ต้องอาศัยความร่วมมือข้ามพรมแดน อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์และลำดับความสำคัญของชาติที่แตกต่างกันสามารถขัดขวางความพยายามในการร่วมมือเหล่านี้ โดยประเทศต่างๆ มักจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ระดับโลก 

เป้าหมายการอนุรักษ์มหาสมุทรขององค์การสหประชาชาติมาพร้อมกับกรอบเวลาที่ท้าทาย ซึ่งน่าจะเป็นการปลุกให้ประชาคมโลกตื่นตัว สมมติว่าเราล้มเหลวในความร่วมมือนี้ สุขภาพของมหาสมุทรของเราจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลกระทบร้ายแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เสถียรภาพของสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก เราจำเป็นต้องเพิ่มเงินทุน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเร่งความก้าวหน้าของเราและรับประกันอนาคตที่ปลอดภัยสำหรับคนรุ่นต่อไป 

อ้างอิง 

ผู้เขียน

+ posts

ชายหนุ่มผู้หลงไหลในกาแฟไม่ใส่น้ำตาล รักการเดินทางไปกับสินค้าของแบรนด์ Patagonia