Atmospheric river แม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก และไม่ได้อยู่บนพื้นดิน

Atmospheric river แม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก และไม่ได้อยู่บนพื้นดิน

แม่น้ำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวัฎจักรน้ำที่นำความอุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณในบริเวณที่ไหลผ่าน ฝนที่ตกลงมาก่อกำเนิดมาจากการสะสมของน้ำในชั้นดิน ซึมผ่านโดยแรงโน้มถ่วงไหลลงมาจากภูเขาและออกสู่ทะเล 

ในภาพจำของเรานั้น เวลานึกถึงแม่น้ำสายสำคัญที่มีขนาดใหญ่ ก็จะเป็น แม่น้ำแอมะซอนในอเมริกาใต้ แม่น้ำไนล์ในแอฟริกาและแม่น้ำโขงในเอเชีย หากแต่มีแม่น้ำที่เราอาจจะไม่สังเกตเห็นซึ่งมีการไหลผ่านกระแสลม ลอยเหนืออยู่บนท้องฟ้า 

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ‘แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ’ (Atmospheric river) สามารถพบเห็นได้ในป่าฝนแอมะซอนบริเวณภูมิภาคอเมริกาใต้ โดยเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำที่ถูกส่งผ่านข้ามทวีปแล้วแม่น้ำในชั้นบรรยากาศมีความยิ่งใหญ่กว่าสายน้ำบนบก โดยเป็นกระแสไอน้ำแบบไดนามิก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและปริมาณน้ำฝนทั่วทั้งทวีปอเมริกาใต้และที่อื่นๆ

ป่าฝนแอมะซอนเปรียบเสมือนปอดของโลก กินพื้นที่กว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ในทวีปอเมริกาใต้เป็นแหล่งก่อกำเนิดปริมาณน้ำหนึ่งในห้าของโลกโดยไหลลงมหาสมุทรแอตแลนติก มีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของปริมาณไอน้ำที่ลอยอยู่มหาศาลบนอากาศ 

จากจำนวนความหลากหลายทางชีวพรรณ จำนวนต้นไม้กว่าสี่แสนล้านต้นที่อยู่ในผืนป่าดูดซับน้ำใต้ดินและปล่อยผ่านใบซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำฝนผ่านการคายน้ำกว่ายี่สิบล้านล้านลิตรต่อวัน 

หากมนุษย์ต้องการสร้างปริมาณไอน้ำมหาศาลขนาดนี้ต้องใช้โรงงานไฟฟ้ากว่าสามหมื่นแห่งในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อต้มน้ำให้เกิดเป็นไอ แต่ต้นไม้ใช้เพียงแค่พลังงานแสงอาทิตย์ 

ปั๊มน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่นี้เองมีปริมาณน้ำจำนวนมหาศาล ครอบคลุมตั้งแต่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกจนถึงเทือกเขาแอนดีส ซึ่งมวลน้ำมากกว่าแม่น้ำแอมะซอนซึ่งเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกบนพื้นดิน

การเดินทางของไอน้ำนั้นขับเคลื่อนโดยรูปแบบลมและสภาพอากาศ เมื่ออากาศอุ่นและชื้นลอยขึ้น อากาศจะเย็นลงและควบแน่นเป็นเมฆ กระบวนการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในอเมซอนเท่านั้น แต่ยังขยายออกไปหลายพันกิโลเมตร ซึ่งส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ห่างไกลออกไป โดยมีอิทธิพลของอุณภูมิและกระแสลมเป็นตัวกำหนดเส้นทางและผลกระทบของแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ เช่น การเปลี่ยนแปลงบริเวณเทือกเขาแอนดีส และความกดอากาศสูงในมหาสมุทรแอตแลนติกบริเวณที่มีความชื้นนี้เป็นตัวกำหนดรูปแบบของฝนในบราซิลและประเทศอื่นๆ บนภาคพื้นทวีปอเมริกาใต้

การค้นพบว่าแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นไม่ได้ไหลผ่านบนพื้นดิน หากแต่ลอยอยู่บนอากาศในรูปแบบของแม่น้ำที่บินได้ ได้กำหนดนิยามใหม่ของความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลกธรรมชาติ แม่น้ำบนอากาศสายนี้ขับเคลื่อนด้วยกระบวนการคายน้ำที่น่าทึ่งของป่าฝนแอมะซอน อิทธิพลของมันขยายออกไปเกินขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตร ทรัพยากรน้ำ และความสมดุลทางนิเวศวิทยาโดยรวมของภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งนี้ต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่สำคัญจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การสร้างมลพิษ ส่งผลต่อเสถียรภาพของแม่น้ำในชั้นบรรยากาศอีกด้วย และการหยุดชะงักของวัฏจักรการไหลเวียนอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อวัฏจักรน้ำทั่วโลกเนื่องจากมีผลต่อปริมาณของน้ำฝน

แม่น้ำที่ลอยอยู่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนภายในระบบนิเวศบนโลกของเรา โดยเน้นนำถึงความตระหนักในระดับโลกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ อาทิ มูลค่าทางการเกษตรเชิงอ้อมมหาศาลจากความสมบูรณ์ของธรรมชาติ 

การปกป้องผืนป่าแอมะซอน การทำความเข้าใจต่อพลวัตของแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ เป็นเครื่องเตือนใจของความรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความสมดุลที่ละเอียดอ่อนนี้ไว้เพื่อบรรเทาวิกฤติทางสภาพภูมิอากาศ

อ้างอิง

ภาพประกอบ

ผู้เขียน

+ posts

ชายหนุ่มผู้หลงไหลในกาแฟไม่ใส่น้ำตาล รักการเดินทางไปกับสินค้าของแบรนด์ Patagonia