WILD-WRITE : ความเหมือนที่แตกต่าง

WILD-WRITE : ความเหมือนที่แตกต่าง

ดินสีแดง

หมู่บ้านเล็ก ๆ จังหวัดชัยภูมิ

ออกไปข้างนอกอย่าให้ดินแดงปลิวใส่หัวนะลูก และกลับบ้านก่อนตะวันตกดินนั่นคือสิ่งที่แม่บอกผมก่อนออกจากบ้านแทบทุกครั้ง

บ้านของเราเป็นบ้านในชนบทเล็ก ๆ นอกตัวเมือง รอบหมู่บ้านเป็นภูเขา ป่าไม้ ทุ่งนา แม่น้ำลำธาร โรงเรียนในหมู่บ้านก็เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีคุณครู 4 คน และนักเรียนราว 50 คน

ธรรมชาติแถวบ้านผมนั้นมีความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์

เมื่อย่างกรายเข้าไปข้างใน จะได้ยินเสียงดนตรีของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของใบไม้เสียดสีกันเวลาที่ลมพัดพา เสียงของต้นไผ่ที่กระทบกันดังป็อก ป็อก หรือแม้แต่เสียงของสรรพสัตว์ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วขานรับกัน เช่น เสียงของนกเขาที่ร้องหาคู่ในฤดูผสมพันธุ์ หรือเสียงจักจั่นเรไรที่ร้องระงมในช่วงหน้าร้อน

ทุกวันหลังเลิกเรียนผมและเพื่อน ๆ จะออกไปปั่นจักรยานเที่ยวเล่นกันตามประสาเด็กวันไหนที่ทางเขื่อนปล่อยน้ำลงมา ก็จะพากันไปเล่นน้ำคลองจนค่ำ

บางวันก็ขึ้นป่าขึ้นเขา เอาหนังสติ๊กไปไล่ยิงกะปอม (กิ้งก่า) เพื่อนำกลับมาให้พ่อทำผัดเผ็ดกะปอม

วันไหนฝนตก นอกจากจะได้กินคั่วแมลงเม่าที่ออกมาหลังฝนตกแล้ว ยังได้กินต้มอึ่งแสนอร่อย

ตกเย็นก็เพลิดเพลินไปกับอาทิตย์อัสดง สาดแสงสีแดง สะท้อนอยู่บนผิวน้ำที่กำลังกระเพื่อมรับแรงลมให้ความรู้สึกสงบเย็น และผ่อนคลายอริยาบถ

ผมรู้สึกประทับใจที่เกิดมาบนธรรมชาติผืนนี้

หลังจากเที่ยวเล่นกันจนค่ำ พวกเราก็แยกย้ายกลับบ้านของตนเอง ระหว่างทางผมขี่รถจักรยานสวนทางกลับรถอีแต๋น ทำให้เกิดฝุ่นสีแดงฟุ้งตลบไปทั่วเสื้อผ้าทั่วร่างกายของผม

ฝุ่น นั่นคือ ดินจากถนนลูกรัง

เนื่องจากหมู่บ้านของเราอยู่ห่างออกไปจากเมืองใหญ่ ทำให้ความเจริญเข้ามาไม่ถึง ถนนทั่วทั้งหมู่บ้านจึงเป็นดินลูกรัง นั่นแหละครับคือดินสีแดงที่แม่ผมเตือนไว้

 

ตะเกียงและเทียนไข

ตกเย็นมาผมทานข้าวเย็นโดยมีอาหารพื้นบ้านหลายอย่างมีแกงเห็ดที่แม่เก็บตอนขึ้นภูเขาแกงหอยขมที่พ่อผมได้นำใบมะละกอไปวางล่อไว้หนึ่งคืนเช้ามาก็พบหอยขมเกาะเต็มไปหมดและมีผัดเผ็ดกะปอมที่ผมเป็นคนจับมากับมือ

เราใช้ชีวิตแบบพออยู่พอกินทำอาหารจากของที่หามาได้ในแต่ละวัน

เมื่อเริ่มมืด ผมลงไปอาบน้ำที่ใต้ถุนบ้าน โดยมีแค่โอ่งกับขัน บรรยากาศรอบข้างก็วังเวงเสียเหลือเกินจนผมรีบอาบรีบขึ้นบ้าน

บ้านเราเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกสูง ที่มีแค่ตัวบ้านและใต้ถุน

ผมเข้าห้องนอนตัวเอง จุดตะเกียงและเทียนไข เพื่อให้เกิดความสว่างขึ้นในห้อง

ผมนั่งจ้องมองแสงตะเกียง มันมีความนุ่มนวล ละมุน น่าหลงใหล หรือเพราะเหตุนี้ ทำให้แมลงส่วนมากชอบบินเข้าหาแสงของตะเกียง และโดนไฟไหม้ตายในที่สุด

ผมพลางแต่คิดว่า จะเป็นอย่างไรถ้าหากโลกของเราขาดแสงไฟในยามราตรี โลกคงมืดมิด ผู้คนไม่กล้าออกไปไหนยามค่ำคืน ใช้ชีวิตแค่ใต้แสงตะวัน….

ผมคิดอะไรไปเพลิน ๆ จนสัปหงก รู้สึกว่ากำลังจะหลับในตอนนั้นเลยเสียให้ได้ ทันใดนั้นเองผมมองไปที่หน้าต่างไม้ที่เปิดอยู่ ผมเห็นดาวตกในชั่วเสี้ยววินาที

ผมดับไฟตะเกียง หยิบเทียนไขเล่มเดียวแล้วออกไปดูที่นอกหน้าต่าง

 

หมู่ดาว หิ่งห้อย และจิ้งหรีด

ผมปีนออกทางหน้าต่าง ซึ่งข้างนอกมีกิ่งของมะขามป้อมต้นใหญ่ที่คุณตาทวดเป็นคนปลูก

รองรับผมอยู่ ผมปีนขึ้นไปจนสุดของยอดไม้ เอนหลังนั่งพิงกิ่งไม้ และดับเทียนไขลง

ผมมองขึ้นไปบนท้องนภาในยามราตรีเห็นกลุ่มดาวต่าง ๆ ซึ่งผมไม่รู้จักมากนัก

คืนนี้เป็นคืนเดือนแรมทำให้ผมสามารถมองเห็นหมู่ดาวได้สว่างชัดเจนทั่วผืนฟ้าดาวบางดวงระยิบระยับ เหมือนชีวิตที่กำลังค่อย ๆ เดินหน้าต่อไปแต่บางดวงแสงกลับแน่นิ่งเหมือนกับชีวิตที่มาถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอแล้ว

น่าเสียดายที่มาไม่ทันได้เห็นดาวตก

ดูดาวได้สักพัก ผมก็เห็นเหมือนมีดาวกำลังกระพริบอยู่ตรงหน้า และยังเคลื่อนไหวไปมาได้เอง

แต่นั่นไม่ใช่ดาวหรอกนะมันคือ หิ่งห้อย

ผมเห็นหิ่งห้อยฝูงใหญ่บินวนอยู่รอบ ๆ ยอดไม้ที่ผมอยู่ พลางเปล่งแสงที่มีในตัวอันริบหรี่ประชันกับแสงของหมู่ดาวนับล้าน เป็นภาพที่อัศจรรย์ใจ

ทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงหริ่ง ๆ วิ้ง ๆ อื้ออึงแถวพุ่มไม้ข้างล่าง นั่นคือเสียงของจิ้งหรีดที่ร้องหาคู่ ร้องรับร้องส่งกันเสมือนกำลังขับกลอนเสภา เป็นเสียงร้องที่ชวนให้ความรู้สึกเหงาและวังเวง

ผมฟังเพลงแห่งธรรมชาติจนพอใจแล้วก็รู้ว่าควรถึงเวลานอน ผมลงจากต้นไม้และกลับเข้าสู่ห้อง ก้างมุ้ง ขึ้นไปนอนบนฟูก แล้วหลับตา

ผมนอนไม่หลับ.. ผมจ้องขึ้นไปบนเพดานด้วยสายตาล่องลอย และว่างเปล่า จิตใจผมไม่สงบนิ่ง ผมคิดทบทวนถึงสิ่งที่พบเจอมาในแต่วัน มันเป็นธรรมชาติที่สวยงาม มีคุณค่า วิจิตรตระการตา ผมไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้เลือนหายไป ผมอยากอนุรักษ์ไว้ จะมีใครบ้างไหมที่จะมาชี้นำกับผู้คนอื่น ๆ ให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งสวยงามเหล่านี้

และผมก็หลับไป

 

สืบทอดเจตนา กับความเหมือนที่แตกต่าง –

35 ปีต่อมา ตำบลระบำ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี อนุสรณ์สถานสืบนาคะเสถียร

ผมจ้องมองรูปปั้นสืบนาคะเสถียร รู้สึกถึงความมุ่งมั่นของอุดมการณ์ ในการปกป้องผืนป่าไม่ให้ถูกทำลาย

ใครกันเล่าที่อุทิศชีวิตให้กับป่าไม้ ทั้งช่วยสัตว์ป่ามากมาย อนุรักษ์ผืนป่า และยังยอมสละชีวิตตนเอง เพื่อเรียกร้องถึงความสำคัญของธรรมชาติ ใครกันเล่าที่ให้ความสำคัญขนาดนี้

การขยายตัวความเจริญของเมือง แผ่ขยายทั่วบริเวณ รุกคืบคลานพื้นที่ป่า สัตว์น้อยใหญ่ไร้ที่อยู่อาศัย

ในขณะที่ป่าโดนรุกรานและร้องโหยหวน ผู้คนกลับนิ่งเฉย นิ่งนอนใจ เสวยสุขความสบาย

ทำอย่างไรป่าถึงจะกลับคืน

22.20 PM คอนโดแห่งหนึ่ง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ

ผมนั่งอยู่ตรงระเบียง จ้องมองออกไปตามถนนหนทางของเมืองใหญ่ เห็นรถวิ่งสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ไฟทั่วทั้งเมืองไม่เคยดับ ผู้คนใช้ชีวิตใต้แสงตะวันและใต้แสงจันทร์ มีเสียงอึกทึกครึกโครมเต็มไปหมด

ไม่มีอีกแล้วดินสีแดง มีแต่ดินสีดำที่เป็นถนนลาดยาง ไม่มีแสงตะเกียง มีแต่แสงหลอดไฟตามบ้านเรือน ไม่มีแสงดวงดาว มีแต่แสงไฟกลางเมืองที่สว่างกลบแสงดาวจนหมด ไม่มีเสียงจิ้งหรีด มีเพียงเสียงเพลงจากลำโพงและเสียงแตรรถยนต์บนถนน ไม่มีอาหารพื้นบ้านทำเอง มีแต่อาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาแล้วทานได้เลย

อะไร ๆ ที่คุ้นเคย ไม่มีอีกแล้ว….

ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงเป็นความเหมือนที่แตกต่าง” ของกาลเวลาที่ขับเคลื่อนไป ป่าไม้ลดน้อยลง

ประชากรเพิ่มมากขึ้นความเจริญรุ่งเรืองแผ่ขยายอำนาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ผู้คนรักความสะดวกสบาย ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม

บางอย่างที่คุ้นเคยลดน้อยลงจนถึงหายไป อาจจะไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่

เราเพียงแค่เดินตามกาลเวลาที่กำลังหมุน และปรับเปลี่ยนให้เข้ากับโลกปัจจุบันเท่านั้นเอง

เพียงแต่หวังว่าจะยังมีป่าไม้ จะยังมีธรรมชาติที่งดงาม คงอยู่กับเราสืบต่อไป….

 

ภูมินทร์  แดงนกขุ้ม

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งจากกิจกรรม WILD-WRITE โครงการเปิดรับต้นฉบับบทความ สารคดี บทกวี บอกเล่าเรื่องราว ความสำคัญของงานอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อม และสืบ นาคเสถียร ในความทรงจำ เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี สืบ นาคะเสถียร