ก่อนมาเป็น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

ก่อนมาเป็น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

คำเตือน บทความนี้บางช่วงมีเนื้อหารุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจต่อผู้อ่าน

ป่าห้วยขาแข้งในอดีตเคยเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนเดินป่าล่าสัตว์ และทำไม้ ว่าเป็นป่าดิบที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ต่อเนื่องกับป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดตาก ออกไปถึงประเทศพม่า เป็นฉากสำคัญในมหานิยายผจญภัยเรื่องเพชรพระอุมา มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก แต่โดยรอบก็มีการให้เป็นพื้นที่สัมปทานไม้กระยาเลยหลายจุด

หลักฐานสำคัญของความอุดมสมบูรณ์เริ่มต้นเมื่อคุณอุดม ธนัญชยานนท์ สามารถนำภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์มาเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 โดยฉากที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ การสำรวจพบควายป่า สัตว์ที่ทุกคนเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจากเมืองไทย ในปีพ.ศ. 2508 (นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล เขียนไว้ในนิตยสารนิยมไพร เมื่อปี 2501 ว่า “ควายป่าตัวสุดท้ายอาจจะถูกยิงที่อำเภอวิเชียร จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อปี 2451”) 

คุณอุดมได้เขียนรายงานสำรวจแก่กรมป่าไม้ มีความตอนหนึ่งว่า “…สัตว์ป่าในป่าห้วยขาแข้งมีจำนวนและปริมาณมาก มีสัตว์ที่พบเห็นได้ยาก เช่น แรด จากการสอบถามได้ความว่ายังอาจมีอยู่ ส่วนสัตว์ป่าที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ ช้าง กระทิง วัวแดง เก้ง กวาง ควายป่า กระจง สมเสร็จ หมี ชะนี ลิง ค่าง เสือ หมูป่า ไก่ป่า ไก่ฟ้า นกยูง นกเงือก ฯลฯ…”

ที่ต่อมาเมื่อมีการจัดทำแผนการจัดการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี และจังหวัดตาก โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวนศาสตร์ และกรมป่าไม้ ได้ระบุชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและประชากรว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นแหล่งรวมของสัตว์ป่าในขตร้อนของเอเชียไว้ไม่น้อนกว่า 496 ชนิดพันธุ์ และยังมีปลาน้ำจืดที่ได้อนุรักษ์ไว้ในลำห้วยลำธารอีกไม่น้อยกว่า 52 ชนิดพันธุ์ 

รายงานของคุณอุดม ยังได้กล่าวถึงปัญหาการล่าสัตว์ โดยแบ่งนายพรานออกเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1. กลุ่มล่าสัตว์เป็นอาชีพ ที่ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดใกล้เคียง ใช้รถยนต์หรือช้างเป็นพาหนะ ทำให้สามารถล่าเป็นเวลานาน 1-2 สัปดาห์ นิยมล่าในฤดูแล้ง กลุ่มที่ 2. กลุ่มเป็นพรานสมัครเล่น เป็นพ่อค้า คหบดี ใช้อาวุธคุณภาพสูง ยิงสัตว์ป่าเพื่ออวดฝีมือ และกลุ่มที่ 3 เป็นชาวบ้านล่าสัตว์เป็นอาหารเพื่อดำรงชีพ

ในปี พ.ศ. 2513 คณะสำรวจกรมป่าไม้นำโดยคุณผ่อง เล่งอี้ พร้อมทั้งช่างภาพชื่อคุณชวลิต เนตรเพ็ญ เข้าสำรวจและสามารถถ่ายภาพยนตร์ควายป่าทั้งฝูงรวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ ทั้งฝูงวัวแดง นกยูง กวาง นำมาฉายให้คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าดู 

ตัวคุณผ่องเคยกล่าวว่า “…ตื่นเต้นมากที่เห็นฝูงควายป่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ตัวของมันใหญ่มาก เวลามันวิ่งแผ่นดินสะเทือน…”

จนกระทั่งเดือนกันยายน พ.ศ. 2515 ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฉบับที่ 201 ลงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2515 และมีประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ หน้า 3 เล่มที่ 89 ตอนที่ 132 วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2515 ให้ป่าห้วยขาแข้ง เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของประเทศไทย มีพื้นที่ในเวลานั้น 1,019,375 ไร่ หรือ 1,631 ตารางกิโลเมตร (ปัจจุบันมีพื้นที่1,737,587 ไร่ หรือ 2,780.14 ตารางกิโลเมตร) มีขนาดใหญ่เท่าๆ กับพื้นที่กรุงเทพมหานคร 

นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้งสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำขึ้นเป็นสถานีวิจัย สัตว์ป่าแห่งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2519 

แม้จะถูกประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแล้ว ป่าห้วยขาแข้งได้รับประกันระดับหนึ่งว่าจะไม่กลายเป็นพื้นที่สัมปทานไม้ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความเข้มข้นมากในช่วงปี พ.ศ. 2516-2525 ซึ่งผืนป่าของประเทศไทยถูกตัดหมดไป ประมาณ 66,499 ตารางกิโลเมตร เทียบได้เป็น 26 เท่า ของพื้นที่ป่าห้วยขาแข้งในเวลานั้น

แต่ป่าห้วยขาแข้งก็ถูกคุกคามจากการล่าสัตว์และไฟป่าอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ชุมชนขยายตัวตามการสัมปทานไม้ จนเข้ามาแทบจะประชิดผืนป่าห้วยขาแข้งในช่วงปี พ.ศ. 2521 มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ถูกพรานยิงบาดเจ็บในบริเวณป่าสัมปทานของบริษัทไม้อัดไทย

จริงๆ แล้ว การทำป่าสัมปทานไม่น่าส่งผลกระทบมากมายเพราะต้องปลูกป่าทดแทน ป้องกันการบุกรุกของชาวบ้านได้ แต่ในทางปฏิบัติเวลานั้น พอทำไม้เสร็จกลับมีชาวบ้านเข้ามาตั้งหมู่บ้าน เช่น ลุ่มห้วยทับเสลา หน่วยงานราชการเองก็ส่งเสริมการจัดตั้งหน่วยสหกรณ์นิคมทับเสลาเพื่อรองรับชุมชนใหม่ เป็นต้น จากการสำรวจในขณะนั้น พบว่าป่าต้นน้ำทับเสลายังคงความสมบูรณ์มาก

ป่าสัมปทานทางตอนใต้เป็นที่อยู่อาศัยของควายป่า จึงมีการขอผนวกพื้นที่จากบริษัทไม้อัดไทย โดยให้เหตุผลว่าบริษัทไม่มีมาตรการป้องกันการบุกรุกทำลายป่า ในขณะเดียวกันกรมชลประทานยังได้เข้ามาดำเนินการก่อสร้างเขื่อนทับเสลาในพื้นที่ป่าสัมปทาน 

แต่ที่สุดแล้ว ฝ่ายอนุรักษ์สามารถต่อรองจน พ.ศ. 2529 สามารถผนวกพื้นที่เพิ่มเติมทางด้านทิศตะวันออกและใต้ รวมมีพื้นที่ 1,609,150 ไร่ หรือ 2,574.64 ตารางกิโลเมตร โดยมีเงื่อนไขว่า กรมป่าไม้ต้องช่วยจัดสรรป่าแห่งอื่นทดแทนให้ด้วย

ปัญหาสัมปทานกลับมาคุกคามห้วยขาแข้งอีกครั้งใน พ.ศ. 2531 เนื่องจากกรมป่าไม้ไม่สามารถหาป่าให้ไม้อัดไทยทดแทนพื้นที่ผนวกได้ กรมป่าไม้จึงให้พื้นที่บางส่วนทางตอนใต้สัมปทานคืนแก่ไม้อัดไทย เป็นพื้นที่เกือบสามแสนไร่

ในปี พ.ศ. 2531 เป็นปีกระแสการอนุรักษ์มาแรงจากการคัดค้านเขื่อนน้ำโจนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งสืบ นาคะเสถียรขณะนั้นเป็นข้าราชการในกรมป่าไม้ได้เข้าร่วมและเป็นกำลังสำคัญทางวิชาการที่คัดค้านจนสำเร็จ 

เมื่อเกิดปัญหากับห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร ได้พาตัวเข้ามานำการคัดค้านเอง จนขยายวงการคัดค้านออกไปอย่างกว้างขวาง มีชาวอุทัยธานีนับหมื่นร่วมลงมติค้าน แต่กรมป่าไม้เองกลับเมินเฉย เรื่องนี้มาถึงที่สุดตอนเกิดเหตุการณ์น้ำป่าและซุงถล่มที่ภาคใต้ นำไปสู่การยกเลิกสัมปทานป่าทั่วประเทศ ป่าห้วยขาแข้งจึงรอดพ้นการทำลายจากการสัมปทานดังกล่าว

สถานการณ์ทำงานในป่าห้วยขาแข้งได้เริ่มเข้าสู่การรับรู้ของสาธารณะในสมัย สืบ นาคะเสถียร เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้า ในปี พ.ศ. 2532 การปกป้องพื้นที่อนุรักษ์ที่ใหญ่โตกว่ากรุงเทพฯ อยู่ในความรับผิดชอบของข้าราชการ 12 คน และเจ้าหน้าที่อีกร้อยกว่าคน ได้งบประมาณดูแลไร่ละไม่ถึงบาท ในขณะที่งบปลูกป่าในป่าเสื่อมโทรมสูงถึงพันบาท และคนที่นี่ทำงานเหมือนทหารออกรบที่ขาดยุทธปัจจัยทุกอย่าง มีอาวุธประจำกายเพียงลูกซองห้านัด ระยะหวังผล 9 เมตร ในขณะที่นักล่าสัตว์มีปืน M-16 ระยะหวังผลครึ่งกิโลเมตร ยังมินับว่าขาดทั้งวิทยุสื่อสาร และรถราสำหรับการเดินทาง

เรื่องราวต่างๆ ของคุณสืบ ในช่วงนี้มีเผยแพร่เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง ตลอดแปดเดือนของการทำหน้าที่หัวหน้า สืบ นาคะเสถียร ทำงานอย่างหนักในการทำงานปกป้องสัตว์ป่า ปัญหาความยากจนของชาวบ้านที่อยู่ขอบป่าเป็นรากฐานสำคัญของการเข้าไปล่าสัตว์ ตัดไม้ ร้านอาหารสัตว์ป่ารอบห้วยขาแข้งมีอาหารสัตว์ป่าไว้บริการลูกค้าทั้งปี มินับรวมการค้าเขากระทิง ควายป่า และซากสัตว์อื่นๆ 

ในบันทึกของบุหลัน รันตี นักเขียนเรื่องป่า เคยบรรยายสภาพป่าห้วยขาแข้งในยุคสมัยนั้นเอาไว้ว่า 

“กวางป่าตัวหนึ่งนอนตายอยู่ในสภาพที่ถูกถลกหนังเหลือแต่ลำตัวที่แดงฉานไปด้วยเลือด ขาทั้งสี่ข้างถูกตัดไป สภาพเพิ่งถูกฆ่าตายก่อนหน้านี้เอง ด้วยปืนลูกซองที่มีรอยกระสุนยิงเข้าที่หน้าอกและก้านคอ เป็นกวางเพศเมียวัยสาว ผู้ล่าที่กำลังแล่เนื้ออยู่คงเห็นเราเดินมาจึงหลบไป แต่ก็คงไม่ได้หนีไปไกลและอาจจะแาบมองดูอยู่ใกล้ๆ เพราะเนื้อกวางยังสดและยังมีเหลืออีกมาก”

“มาได้ไม่ไกลนักก็พบซากกวางถูกฆ่าอีก คงจะเป็นเมื่อวานเพราะยังไม่มีกลิ่นเหม็น เนื้อทั้งหมดถูกชำแหละออกไปแล้วทิ้งไว้แต่กระดูกซี่โครงกับกระเพาะอาหารอยู่บนใบไม้ที่ใช้ปูรองพื้น เป็นกวางสาวเพราะมีหัวตัดทิ้งเอาไว้ ไม่พบหนังที่ถลกออก พวกนักล่าคงนำกลับไปด้วย ไม่มีเศษเนื้อตกอยู่เลย แม้แต่กระดูกซี่โครงก็มีแต่กระดูกจริงๆ จะหาเนื้อติดบ้างก็ถูกขูดไปเหมือนเอากระดาษทรายขัด”

“การเห็นซากกวางถูกชำแหละทิ้งไว้เช่นนี้มิได้เป็นของแปลกสำหรับเราอีกต่อไป เพราะมีให้เห็นตลอดเส้นทาง แต่ละซากมีสภาพคล้ายๆ กัน ถ้าซากไหนไม่มีหัวตัดทิ้งไว้ แสดงว่ากวางตัวนั้นเป็นตัวผู้ เขาสวยของมันสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้เช่นกัน”

“ตลอดการเดินทางเราพบซากกวางถูกฆ่าตายเกือบสามสิบซาก ผมได้ถ่ายภาพสไลด์เอาไว้ ถ่ายจนฟิล์มเกือบจะหมดจนเลิกถ่าย พิจารณาดูแล้วว่ามันจะต้องเป็นการล่าเพื่อการค้าอย่างแน่นอน”

นอกจากนี้ปัญหาอิทธิพลและการคอรัปชั่นภายในสังกัด และอิทธิพลจากนายทุนร่วมกับข้าราชการในพื้นที่ 

ระหว่างการทำงานที่นี่ลูกน้องของสืบ นาคะเสถียร ถูกพรานยิงตายไปถึงสองคน สืบเดินทางประสานงานทั่วทิศ เพื่อขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ให้ช่วยหาทางปกป้องป่า ทำงานเผยแพร่ความรู้กับเด็กและเยาวชนรอบป่าด้วยตัวเอง วิ่งเต้นหาแหล่งทุนเพื่อเป็นสวัสดิภาพสวัสดิการให้เจ้าหน้าที่ นำเสนอผลักดันแนวคิดเรื่องป่ากันชน และป่าชุมชนให้ชาวบ้าน งานทั้งหมดสืบทำทุกอย่างตั้งแต่เช้ายันค่ำ

บางครั้งเที่ยงคืนเขายังอุตส่าห์ขับรถจากตัวเมืองเข้ามาในป่า ตื่นเช้ามืดมาเขียนเอกสารที่คั่งค้างไว้ พอรุ่งสางก็ขับรถออกไปตามโรงเรียนบรรยายให้นักเรียนฟังต่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 

“จะไม่มีใครต้องตายในเขตห้วยขาแข้ง ถ้ามีก็ต้องเป็นผม” 

สืบเคยประกาศความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ในช่วงเวลานั้นการอนุรักษ์ป่าและการทำงานหนักแบบหัวหน้าสืบดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่สังคมไทยและวงการราชการคุ้นเคย 

อย่างไรก็ตาม สืบ นาคะเสถียร ก็ได้ทิ้งมรดกที่สำคัญเอาไว้ นั่นคือ เอกสารเสนอให้ทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้งเป็นมรดกโลก และแผนการจัดการพื้นที่ห้วยขาแข้งโดยคณะวนศาสตร์ก็ได้จัดทำสำเร็จในสมัยหัวหน้าสืบนี้เอง

หลังจากคุณสืบ นาคะเสถียร เสียชีวิต สังคมไทยหันมาสนใจป่าห้วยขาแข้งอย่างจริงจัง ทหารพรานถูกส่งเข้ามาร่วมลาดตระเวน ความคิดเรื่องป่ากันชนได้รับการปฏิบัติ และหาทางทำงานในเชิงวิชาการเพื่อกำหนดนโยบาย หมู่บ้านหลายหมู่บ้านถูกอพยพออกนอกแนวป่ากันชนไปจัดตั้งหมู่บ้านป่าไม้ พร้อมมาตรการส่งเสริมอาชีพ ชาวบ้านหลายหมู่บ้านนำอาวุธมอบให้ราชการเพื่อแสดงเจตนาร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 

รวมถึงการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2534 จากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เป็นมรดกทางธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทย (รวมพื้นที่ 4,017,087 ไร่ หรือ 6,427 ตารางกิโลเมตร) และรวมถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งที่ได้ผนวกพื้นที่ตอนเหนือและตะวันออกเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2535 ทำให้มีพื้นที่ทั้งหมด 1,737,587 ไร่ หรือ 2,780.14 ตารางกิโลเมตร 

ทำให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่มีขนาดการจัดการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่มีพื้นที่ป่าครบถ้วนสมบูรณ์กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศ

  • บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในวารสารสาส์นสืบ ฉบับ กันยายน 2555 ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหา สิงหาคม 2568
  • ภาพประกอบบทความทั้งหมด โดย สืบ นาคะเสถียร

ผู้เขียน

Website | + posts

กรรมการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร อดีตประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร (18 กันยายน 2558 - 2566)

Website | + posts

ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม