เส้นทางสู่ ‘หัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์’ เมื่อความโปร่งใสต้องมาก่อนเส้นสาย

เส้นทางสู่ ‘หัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์’ เมื่อความโปร่งใสต้องมาก่อนเส้นสาย

การโยกย้ายตำแหน่งหัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งครอบคลุมทั้งอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า มักจุดประกายคำถามในสังคมอยู่เสมอว่า ตั้งอยู่บนหลักการของความรู้ความสามารถหรือเป็นผลจากปัจจัยอื่น การสร้างเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) ที่โปร่งใสและเป็นธรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและประสิทธิภาพในการปกป้องสมบัติของชาติ

บทสนทนากับ นายเลิศ เอื้อทวีพล ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และ นายจงพิพัฒน์ อุทรักษ์ หัวหน้าศูนย์ฝึกอบรมที่ 5 (ตาก) ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ระหว่างการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ระดับพื้นฐาน (รุ่นที่ 2) ได้ให้ภาพที่ชัดเจนขึ้นถึงทิศทางใหม่ในการคัดเลือกบุคลากรเพื่อทำหน้าที่นี้

ภารกิจ 24 ชั่วโมงเมื่อเนื้องานไม่เหมือนข้าราชการพลเรือนทั่วไป

นายเลิศได้อธิบายถึงความพิเศษของงานในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าแตกต่างจากหน่วยงานราชการพลเรือนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง “เราเป็นข้าราชการพลเรือนที่สังกัด คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) แต่เรามีการจับอาวุธ มีการลาดตระเวน ไม่ใช่งานที่เลิกตามเวลาราชการแล้วจบ”

ลักษณะงานที่ต้องตื่นตัวตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือกับปัญหาการลักลอบตัดไม้ การล่าสัตว์ หรือการบุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งผู้กระทำผิดไม่ได้เลือกเวลาทำการ และยังต้องบริหารจัดการชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทำให้ตำแหน่งหัวหน้าพื้นที่ฯ ต้องการบุคคลที่มีคุณสมบัติเฉพาะทาง ทั้งความรู้ ความอดทน และความสามารถในการบริหารจัดการที่รอบด้าน

ด้วยเหตุนี้ การเตรียมคนเข้าสู่ตำแหน่งจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยคุณสมบัติเบื้องต้นคือต้องเคยเป็น ‘ผู้ช่วยหัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์’ มาก่อน เพื่อให้เข้าใจหน้างานอย่างแท้จริง และต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ (Candidate) ที่ผู้บริหารจะพิจารณาแต่งตั้งต่อไป

จากเส้นสายสู่เส้นทางอาชีพ (Career Path) ที่ชัดเจน

ประเด็นเรื่อง ‘เส้นสาย’ ในการแต่งตั้งเป็นสิ่งที่สังคมกังขา นายเลิศกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าตอบว่าไม่มีก็คงไม่ใช่” อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานฯ ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้วยการใช้หลักเกณฑ์ และระเบียบการแต่งตั้งหัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์ Career Path ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานใหม่ให้กับระบบ

โดยประกาศ Career Path ของกรมฯ มีการแบ่งชั้นพื้นที่ป่าอนุรักษ์เป็น 3 ระดับ คือ ระดับ  A B และ C ซึ่งหลักสูตรสำหรับขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ก็มี 3 หลักสูตรเพื่อรองรับแต่ละระดับเช่นกัน ได้แก่ (1) หลักสูตรนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ระดับสั่งการ  (รองรับระดับ A) (2) หลักสูตรนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ระดับพัฒนา (รองรับระดับ B) และ (3) หลักสูตรนักบริหารพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ระดับพื้นฐาน (รองรับระดับ C)

แม้ปัจจุบันจะยังอยู่ใน บทเฉพาะกาล 5 ปี ที่ยังอนุโลมให้สามารถนำคนจากภายนอกเข้ามาได้ แต่เป้าหมายที่ชัดเจนคือ หลังเดือนธันวาคม พ.ศ. 2571 ผู้ที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์ได้นั้น จะต้องผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรสำหรับขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่กำหนดไว้ก่อนเท่านั้น

หลักสูตรนี้ถูกออกแบบมาอย่างเข้มข้นและรับจำนวนจำกัด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่ผ่านการอบรมจะมีคุณภาพและมีความรู้ความสามารถที่จำเป็นครบถ้วน ทั้งด้านวนศาสตร์ เทคโนโลยี การบริหารจัดการ และที่สำคัญคือ คุณธรรมและจริยธรรม เนื่องจากผู้ดูแลทรัพยากรของชาติต้องเผชิญกับสิ่งล่อแหลมและผลประโยชน์มากมาย การมีเพียงความเก่งจึงไม่เพียงพอ

หลุมพรางและแรงกดดันเมื่อกฎหมายกลายเป็นเครื่องมือ

นอกเหนือจากความท้าทายภายในองค์กรแล้ว หัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการโยกย้ายหรือกลั่นแกล้ง

นายจงพิพัฒน์ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาส่วนหนึ่งของการปฏิบัติราชการตามกฎหมายบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งแม้จะมีเจตนาดีเพื่อปราบปรามการทุจริต “แต่กลับกลายเป็นดาบสองคม” ในอดีตเราใช้ระเบียบสำนักนายกฯ พ.ศ.2535 ซึ่งค่อนข้างมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการปฏิบัติงาน

แต่ พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างปี 60 มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าและมีบทกำหนดโทษทางอาญา ทำให้ข้าราชการผู้ปฏิบัติงานเกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกร้องเรียน หรือ ถูกระบุความผิด รวมไปถึงถูกใส่ความ จากผู้ไม่ประสงค์ดีต่อข้าราชการผู้นั้น เพื่อเป็นเหตุในการโยกย้ายได้ง่ายขึ้น หรือแม้กระทั่งมีบทลงโทษให้ออกจากราชการ ซึ่งในหลายกรณีก็เป็นข่าวที่ปรากฏตามสื่อสังคมทั่วไป

การทำหน้าที่เฝ้าสมบัติของชาติที่หลายฝ่ายต้องการใช้ประโยชน์ เช่น การสร้างเขื่อน โครงการพัฒนาต่าง ๆ รวมถึงการยึดถือครอบครองที่ดินของนายทุนและผู้มีอิทธิพล ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องยืนหยัดคัดค้านด้วยหลักวิชาการและเหตุผล ซึ่งสร้างศัตรูและทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย หากมีจุดผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย

ก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นการสร้าง Career Path ที่ชัดเจนถือเป็นครั้งแรกของกรมอุทยานฯ ที่มีการวางระบบและหลักสูตรเพื่อรองรับการขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์อย่างเป็นรูปธรรม แม้จะยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ก็ถือเป็นความหวังและเครื่องป้องกันสำคัญที่จะช่วยลดการใช้ดุลยพินิจที่ปราศจากหลักเกณฑ์ และสร้างความมั่นใจว่า ผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการปกป้องผืนป่า คือบุคคลที่มีความสามารถ มีความพร้อม และเปี่ยมด้วยอุดมการณ์อย่างแท้จริง

ผู้เขียน

+ posts

นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้