แอนโทรโปซีน (Anthropocene) คืออะไร และ ‘หมุดทอง’ ของยุคสมัยเริ่มต้นเมื่อไหร่

แอนโทรโปซีน (Anthropocene) คืออะไร และ ‘หมุดทอง’ ของยุคสมัยเริ่มต้นเมื่อไหร่

เราอยู่ในยุคที่หลายคนเรียกว่า ‘แอนโทรโปซีน’ (Anthropocene) มนุษย์ได้กลายเป็นสปีชีส์ที่สร้างผลกระทบให้กับโลกมากที่สุด เราทำให้ ‘ภาวะโลกร้อน’ เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ต่อพื้นดิน น้ำ สิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและชั้นบรรยากาศ

คำว่า ‘แอนโทรโปซีน’ มาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่ามนุษย์ (‘anthropo’) และคำว่า ใหม่ (‘cene’) แต่ด้านคำจำกัดความยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับว่า พอล เจ ครูตเซน นักเคมีในบรรยากาศ และ และ ยูจีน เอฟ. สเตอร์เมอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านอะตอม เป็นผู้ริเริ่มทำให้คำๆ นี้เป็นที่รู้จัก

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเผ่าพันธุ์โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) ได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อโลกและผู้อยู่อาศัยบนโลก และผลกระทบก็อยู่อย่างถาวรจนไม่อาจทำให้ระบบทางสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพหวนกลับเป็นอย่างเก่าได้อีก

โลกมีอายุ 4.5 พันล้านปี ส่วนมนุษย์สมัยใหม่มีอายุเพียง 200,000 ปี ทว่าเพียวชั่วเวลาเท่านั้น เราได้เปลี่ยนแปลงระบบทางกายภาพ เคมี และชีวภาพของโลกโดยพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกต้องพึ่งพาอาศัย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ผลกระทบของมนุษย์ได้แผ่ขยายออกไปในอัตราและขนาดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ช่วงเวลานี้บางครั้งเรียกว่า Great Acceleration (ตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง) เช่น การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ภาวะโลกร้อน ภาวะความเป็นกรดในมหาสมุทร การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต และการสกัดทรัพยากรธรรมชาติ ในวงกว้าง ล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราได้เปลี่ยนแปลงโลกของเราอย่างมีนัยสำคัญ

เหล่านี้เป็นหลักฐานที่เพียงพอสำหรับการประกาศยุคทางธรณีวิทยาอย่างเป็นทางการใหม่ที่เรียกว่ายุคแอนโทรโปซีน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังคงถกเถียงถึงประเด็นนี้อยู่

ยุคโฮโลซีนและยุคน้ำแข็ง

ประวัติของดาวเคราะห์โลกนั้นอยู่มาอย่างยาวนานประมาณ 4.5 พันล้านปี นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งแยกยุคทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่โดยใช้ยุคทางธรณีวิทยา เพื่อกำหนดยุคสมัยต่างๆ ขึ้น

มาตรธรณีกาลสามารถอยู่ได้นานนับล้านปีและถูกกำหนดโดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในชั้นหิน เช่น องค์ประกอบของแร่ และลักษณะของฟอสซิลที่มีลักษณะเฉพาะตัว แต่ละรูปแบบจะสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่สำคัญ

ในช่วง 11,500 ปีที่ผ่านมา โลกอยู่ในยุคโฮโลซีน โดยเริ่มต้นเมื่อสิ้นสุดยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย เมื่อธารน้ำแข็งที่เคยปกคลุมโลกได้หายไป

โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในยุคโฮโลซีน ?

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบนโลกเราในยุคโฮโลซีน หมายความถึงการเติบโตของจำนวนประชากรมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการพัฒนาของอารยธรรมสมัยใหม่ ในช่วง 11,500 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้สร้างเมืองและบรรลุความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย ภูมิอากาศของโลกค่อนข้างอบอุ่นและคงที่

สัญญาณของ ‘แอนโทรโปซีน’

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สภาพอากาศของโลกไม่คงที่อีกต่อไป อุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และนักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นพ้องว่ากิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อนที่เร่งตัวขึ้น การทำเกษตรกรรม การขยายตัวของเมือง การตัดไม้ทำลายป่า และมลภาวะ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ไม่ธรรมดาให้กับโลก มากกว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามวัฎจักรธรรมชาติใดๆ

แต่ก็ยังมีนักธรณีวิทยาที่ไม่เห็นด้วยว่า มนุษย์สามารถสร้างผลกระทบแบบถาวรและมีความหมายต่อองค์ประกอบทางเคมีของหินและฟอสซิลที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา เนื่องจากมนุษย์ได้อาศัยอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของโลก มันอาจเร็วเกินไปที่จะบอกว่าผลกระทบของเราจะมองเห็นได้ในบันทึกซากดึกดำบรรพ์นับเนื่องต่อจากในอีกหลายล้านปีข้างหน้าหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิสูจน์ตรงนี้เสียก่อนเพื่อประกาศยุคใหม่

คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยศาสตร์การลำดับชั้นหิน – หน่วยงานที่ดูแลมีอำนาจในการตัดสินใจและตั้งชื่อยุคทางธรณีวิทยา – ยังคงถกเถียงกันถึงข้อพิสูจน์ยุคแอนโทรโปซีน และกำลังมองหาสิ่งที่เรียกว่า ‘หมุดทอง’ ซึ่งเป็นเครื่องหมายในบันทึกฟอสซิลที่สามารถแบ่งสมัยโฮโลซีนออกจากแอนโทรโปซีน

‘หมุดทอง’ จะต้องมีความสำคัญมากจนสามารถตรวจจับได้ในชั้นหินหลายพันหรือหลายล้านปีข้างหน้า

‘แอนโทรโปซีน’ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม

นักวิทยาศาสตร์บางคนอธิบายว่ายุคแอนโทรโปซีน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสหราชอาณาจักร หรือช่วงศตวรรษที่ 18 ซึ่งทำให้เกิดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นครั้งแรกของโลก

การเผาไหม้คาร์บอนอินทรีย์ในเชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้เกิดการผลิตขนาดใหญ่ และผลักดันการเติบโตของเหมือง โรงงานต่างๆ และตั้งแต่นั้นมาประเทศต่างๆ ก็พากันพัฒนาเอาอย่าง ทำให้ความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้น พร้อมกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สิ่งแวดล้อม

แต่ก็ยังมีส่วนที่โต้แย้งว่ายุคแอนโทรโปซีนเริ่มต้นมาก่อนหน้านั้น โดยนับตั้งแต่เมื่อมนุษย์เริ่มทำการเกษตร ขณะที่มีความเห็นอีกไม่น้อยอธิบายว่ายุคแอนโทรโปซีนเริ่มขึ้นในปี 1950 เมื่ออาวุธนิวเคลียร์ปล่อยธาตุกัมมันตรังสีไปทั่วโลก เศษกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ได้ปะปนอยู่ในหิน ต้นไม้ และชั้นบรรยากาศ ซึ่งอาจเป็นตัวแทนของ ‘หมุดทอง’ ที่นักวิทยาศาสตร์กำลังมองหา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีฉันทามติที่ชัดเจน

‘แอนโทรโปซีน’ และมลภาวะพลาสติก

พลาสติกอาจกลายเป็นเครื่องหมายสำคัญของยุคแอนโทรโปซีน จากการผลิตหลายล้านตันทุกปี พลาสติกไม่ย่อยสลายทางชีวภาพ จึงกลายเป็นขยะอยู่ทั่วทุกหนแห่งทั้งในพื้นดินจนถึงก้นทะเล

มีหลักฐานว่าพลาสติกถูกสะสมอยู่ในบันทึกฟอสซิลอยู่แล้ว โดยการศึกษาตะกอนนอกชายฝั่งแคลิฟอร์เนียในปี 2019 พบว่า มีตะกอนพลาสติกเพิ่มขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1940

มลพิษจากพลาสติกเป็นอีกเครื่องหมายหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาเพื่อค้นหาว่าสิ่งนี้อาจเป็น ‘หมุดทอง’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของยุคแอนโทรโปซีนหรือไม่

ขนาดผลกระทบที่มนุษย์กระทำต่อโลก

คำว่า ‘แอนโทรโปซีน’ ถูกใช้ในบริบททางวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ที่หลากหลาย นักวิจัย นักอนุรักษ์ กวี ปราชญ์ นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวต่างนำคำนี้ออกมาใช้กันถ้วนหน้า แต่ก็มักให้ความหมายที่แตกต่างกันไป

บางครั้ง แอนโทรโปซีนใช้เพื่ออธิบายช่วงเวลาที่มนุษย์สร้างผลกระทบอย่างมากต่อโลกของเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ในยุคทางธรณีวิทยาใหม่หรือไม่ก็ตาม เราก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ซับซ้อนระดับโลก และหลักฐานของผลกระทบจากเราก็มีผลต่อระบบนั้นก็ชัดเจน

บ้างอาจนึกถึงผลกระทบของมนุษย์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเกิดภาวะโลกร้อน สภาพอากาศ และสภาพมหาสมุทรที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่อายุของมนุษย์เป็นมากกว่าแค่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การตระหนักรู้ทั้งสถานะปัจจุบันของโลกและผลกระทบของการกระทำของเราเป็นปัจจัยสำคัญในยุคแอนโทรโปซีน

‘แอนโทรโปซีน’ และการสูญพันธุ์

ในประวัติศาสตร์ของโลกแม้จะเคยเกิดเหตุการณ์สูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ขจัดสิ่งมีชีวิตจำนวนมากออกไป แต่จนถึงขณะนี้ สาเหตุล้วนถูกกระตุ้นโดยสาเหตุทางธรรมชาติ เช่น ดาวเคราะห์น้อยและการระเบิดของภูเขาไฟ แต่หนนี้เป็นครั้งแรกที่สายพันธุ์เดียวได้ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อโลกธรรมชาติ

นอกจากนี้ การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในเวลานี้ก็กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และน่ากลัว สปีชีส์ต่างๆ กำลังสูญพันธุ์ในอัตราที่เร็วกว่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ

มีความหวังสำหรับอนาคตของโลกของเราหรือไม่ ?

นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ ระบบนิเวศทั่วโลกของโลกของเราไม่เคยตกอยู่ในสภาพวิกฤติอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ครบครันเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำต่อไปในอนาคต

ฉะนั้นไม่ว่ายุคแอนโทรโปรซีนจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ อาจไม่สำคัญเท่าจากนี้เราจะแก้ไขความเป็นไปที่เป็นอยู่นี้อย่างไร


อ้างอิง What is the Anthropocene and why does it matter?

ผู้เขียน

Website | + posts

ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม