กว่า 20 ปีของการศึกษาและติดตามเสือโคร่งในผืนป่ามรดกโลก ทุ่งใหญ่นเรศวร–ห้วยขาแข้ง ได้เผยให้เห็นเรื่องราวอันทรงคุณค่าของการอนุรักษ์สัตว์ป่าไทย งานวิจัยนี้ไม่เพียงทำให้เรารู้จักวิถีชีวิตของเสือโคร่งมากขึ้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทุ่งใหญ่–ห้วยขาแข้งในฐานะแหล่งพันธุกรรมของประชากรเสือโคร่งในประเทศไทย
นายสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ ได้กล่าวในเวทีเสวนา ว่า งานวิจัยเกี่ยวกับเสือโคร่งในผืนป่ามรดกโลก “ทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง” ของสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2538 โดยเฉพาะงานวิจัยเสือโคร่งที่ริเริ่มโดย ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ ซึ่งเน้นการศึกษาร่องรอย การล่า และการใช้ประโยชน์จากเหยื่อ พร้อมทั้งเริ่มใช้กล้องดักถ่ายภาพแบบฟิล์มเพื่อเก็บข้อมูล ที่สำคัญของการศึกษาเสือโคร่งในไทย
ต่อมาในปี 2547 ได้มีการพัฒนาโครงการวิจัยเสือโคร่งอย่างจริงจังในพื้นที่ห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเสือโคร่งระดับโลกเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในการวางระบบติดตามประชากรด้วยกล้องดักถ่ายภาพและการศึกษานิเวศวิทยาด้วยปลอกคอระบบดาวเทียม ควบคู่ไปกับการนำระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพเข้ามาใช้ในพื้นที่ โดยเฉพาะห้วยขาแข้ง ก่อนจะขยายไปยังทุ่งใหญ่ตะวันออกและทุ่งใหญ่ตะวันตก
นายสมโภชน์ ระบุต่อว่า แนวคิดของการดำเนินงานแบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ การติดตามการกระจายของเสือโคร่งในผืนป่าตะวันตกครอบคลุมทุกพื้นที่ การประเมินความหนาแน่นของเสือและเหยื่อในแหล่งอาศัยสำคัญ และการศึกษาระบบนิเวศวิทยาในห้วยขาแข้งซึ่งถือเป็นแหล่งพันธุกรรมเสือโคร่งที่ดีที่สุดในประเทศไทย


ปี 2555 ข้อมูลวิจัยสะท้อนให้เห็นแนวโน้มการกระจายของเสือโคร่งและสัตว์เหยื่อ โดยพบว่าพื้นที่หลักอยู่ในทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และทางตอนเหนือของแม่วงก์ การมีเหยื่อจำนวนมากสัมพันธ์โดยตรงกับความหนาแน่นของประชากรเสือโคร่ง
โครงการวิจัยจึงมุ่งศึกษานิเวศวิทยาของเสือโคร่งในห้วยขาแข้ง ผ่านการติดปลอกคอเพื่อติดตามการใช้พื้นที่และพฤติกรรม ซึ่งผลการติดตามชี้ว่าเสือตัวผู้ครอบครองพื้นที่กว้างกว่าตัวเมียอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของห้วยขาแข้ง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนที่และซากสัตว์ที่พบในพื้นที่ การวิจัยสรุปได้ว่าเสือโคร่งในห้วยขาแข้งล่าเหยื่อหลักเป็นวัวแดง คิดเป็นสัดส่วนถึง 32% ของอาหารทั้งหมด โดยเหยื่อกว่า 90% เป็นสัตว์กีบขนาดใหญ่ เช่น วัวแดง กวาง เก้ง หมูป่า และกระทิง
การศึกษาในช่วง 10 ปีแรกจึงเน้นติดตามพฤติกรรมและการล่าเหยื่อของเสือโคร่งประจำถิ่น ต่อมาในปี 2559 ได้มีการขยายการศึกษาไปยังทุ่งใหญ่ตะวันออก พบว่าเสือโคร่งในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะตัวผู้ ใช้พื้นที่กว้างกว่าห้วยขาแข้งถึงสามเท่า
ในด้านการประเมินประชากร มีการใช้กล้องดักถ่ายภาพเพื่อตรวจนับจำนวนเสือโคร่งและเปรียบเทียบในแต่ละปี ข้อมูลจากปี 2550 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่าประชากรเสือโคร่งโดยรวมในพื้นที่ห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้จะเคยลดลงในช่วงปี 2553 – 2554 เนื่องจากการล่า แต่ด้วยมาตรการลาดตระเวนที่เข้มข้นขึ้น ประชากรก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยเฉพาะในห้วยขาแข้ง
สุดท้ายข้อมูลที่ได้จากการทำงานชี้ให้เห็นว่า ทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ยังคงเป็นพื้นที่หลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์และการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งในประเทศไทย
ผู้เขียน
นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้