ชัยวัฒน์ ชี้ กฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แนะใช้กลไก คทช. แก้ปัญหาผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทำกิน หวั่นเอื้อนายทุน

ชัยวัฒน์ ชี้ กฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แนะใช้กลไก คทช. แก้ปัญหาผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทำกิน หวั่นเอื้อนายทุน

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ ได้แสดงความเห็นและความกังวลต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมป่าไม้ทั้ง 2 ฉบับ โดยเน้นย้ำว่า แม้เจตนารมณ์เริ่มต้นจะมุ่งช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อนและผู้ยากไร้ แต่ในทางปฏิบัติ ร่างกฎหมายดังกล่าวกลับเปิดช่องโหว่และอาจเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุนและผู้กระทำผิดมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่

สำหรับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีป่าไม้ 2 ฉบับ ที่เสนอนั้นมีวัตถุประสงค์ตรงกันคือต้องการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีผู้เสนอร่าง ได้แก่ นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล จากพรรคประชาชน และนายซูการ์โน มะทา จากพรรคประชาชาติ

นายชัยวัฒน์ระบุว่า เข้าใจในวัตถุประสงค์ของผู้เสนอร่างฯ ว่าเพื่อต้องการช่วยเหลือความเดือดร้อนของประชาชนที่ถูกดำเนินการคดีตาม พ.ร.บ. ขีดเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์, พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484, พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ, พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ และประมวลกฎหมายที่ดิน 2497 โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่ามีราษฎรบางรายเคยอยู่ในพื้นที่มาก่อนการประกาศใช้กฎหมายที่ดิน แต่การประกาศครั้งนั้นไม่ทั่วถึง ทำให้ราษฎรบางส่วนไม่ได้แจ้งทำ ส.ค. 1 (แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน) หรือออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน เมื่อต่อมามีการประกาศเขตป่าทับซ้อน จึงทำให้ราษฎรกลุ่มนี้ขาดสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม หากย้อนหลังไปถึง 70 ปี 60 ปี หรือแม้กระทั่ง 20 ปี ผู้ที่เคยอยู่หรือเคยครอบครองมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งยากที่จะพิสูจน์ได้ว่าใครบริสุทธิ์หรือไม่ จึงเกิดข้อกังวลว่าหลักนิรโทษกรรมแบบ ‘เหมาเข่ง’ อาจเป็นการเอื้อกลุ่มทุน เนื่องจากในรายละเอียดตามมาตราต่าง ๆ ไม่ได้จำกัดการช่วยเหลือเฉพาะคนยากจนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวกลาง และแม้กระทั่งคนสั่งการ ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่จัดเป็นคนยากจนอยู่แล้ว

“พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีป่าไม้ถ้าทำขึ้นมาได้ มันเป็นการที่คนทำผิดกฎหมาย แต่อยู่เหนือกฎหมาย แล้วได้สิทธิ์ตามที่ตนเองครอบครอง แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับผู้ที่ทำถูกต้อง”

นายชัยวัฒน์เชื่อว่า หากกฎหมายนี้ผ่านจะกลายเป็นการช่วยเหลือกลุ่มทุนที่เข้ามาสวมสิทธิ์ในระบบ เพราะปัญหาที่แท้จริงของประเทศไทยคือการซื้อขายเปลี่ยนมือไปให้กลุ่มนายทุน ซึ่งได้ยกตัวอย่างพื้นที่ภาคตะวันออกที่มีการบุกรุกป่าสงวนเพื่อทำสวนทุเรียน โดยเฉพาะแปลงขนาดใหญ่ถึง 2,000 ไร่ ที่มีการทำระบบน้ำเดียวกัน และใช้แหล่งน้ำเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ทำไม่ใช่คนยากไร้ แต่เป็นกลุ่มทุนที่ใช้คนเหล่านี้เป็นนอมินี การร่างกฎหมายนี้จึงเป็นการ ‘เปิดช่องกฎหมาย’ ให้คนกลุ่มนี้เข้ามาจับต้องสิทธิ์ได้

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเอกสาร ส.ค. 1 ที่กำลังรอการพิจารณาเป็นจำนวนมาก หากมีการนิรโทษกรรม ส.ค. 1 เหล่านี้จะได้รับสิทธิ์ทันที ไม่ว่าจะเท็จหรือจริง รวมถึงที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์บางแห่ง เช่น เขตห้ามล่าสัตว์ป่าสลักพระ ที่มีสภาพเป็นป่าสมบูรณ์ แต่มีเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก. ครอบคลุมเกือบทั้งหมด กว่า 5,000 ไร่ หากกฎหมายนี้ผ่าน ผู้ถือหลักฐานดังกล่าวก็จะมีสิทธิ์เข้าทำกินได้ โดยอ้างว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายที่ดิน

นายชัยวัฒน์ได้ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพว่า กรณีที่พื้นที่ป่าซึ่งถูกบุกรุกไป 7 ไร่ (ส่วนที่เกินจากที่ตกลงกับรัฐไว้ 3 ไร่) และได้มีการฟื้นฟูกลับเป็นสภาพป่าไปแล้ว หาก พ.ร.บ. นิรโทษกรรมผ่าน ผู้บุกรุกอาจกลับมาอ้างสิทธิ์ในส่วน 7 ไร่นั้นอีกครั้ง หรือกรณีสวนยางพาราทางภาคใต้ที่ปลูกปนกับป่าธรรมชาติ ซึ่งหากมีการนิรโทษกรรม ผู้ครอบครองก็จะมีโอกาสพิสูจน์สิทธิ์และได้ครอบครองพื้นที่นั้น

ดังนั้น การนิรโทษกรรมนี้จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง เนื่องจากประเทศไทยยังยากที่จะบรรลุเป้าหมายการมีพื้นที่ป่า 40% หากมีการแบ่งพื้นที่ป่าออกไปอีก ย่อมทำให้โอกาสในการบรรลุเป้าหมายนี้ดับฝันลง และจะส่งผลให้ปัญหาภาวะโลกร้อน ภัยแล้ง และน้ำท่วมไม่สามารถแก้ไขได้

ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ให้ความเห็นว่าร่างกฎหมายนี้อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 70 ที่กำหนดให้สิทธิของประชาชนต้องเสมอภาคและต้องเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์ การที่กฎหมายนี้ไปรอนสิทธิ์สาธารณประโยชน์ ประชาชนทั่วไปอาจนำไปสู่การฟ้องร้องได้ รวมถึงในที่ประชุม กฤษฎีกาได้แสดงความกังวลว่า หากร่าง พ.ร.บ. นี้ผ่านและมีการตีความที่ไม่ชัดเจน อาจนำไปสู่เรื่องทุจริต

นายชัยวัฒน์ในฐานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมมาธิการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีป่าไม้แก่ราษฎร ยืนยันว่า “คัดค้านทั้ง 2 ร่างนี้อย่างแน่นอน” โดยได้เสนอทางออกที่ดีที่สุดที่สามารถยอมรับได้คือการถอนร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ และเปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่หากมีเจตนาต้องการช่วยเหลือผู้ยากไร้จริง

นายชัยวัฒน์เสนอแนวทางแก้ไขสำหรับคนจนที่ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับป่าไม้และไม่มีสิทธิ์ได้ที่ทำกินของรัฐ โดยแนะนำให้ใช้วิธี ‘ล้างมลทิน’ ผู้ยากไร้เหล่านี้ แล้วให้เข้าสู่กระบวนการจัดสรรที่ดินของ คทช. (คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายกว่า และเมื่อเข้ากระบวนการ คทช. ที่มีอยู่แล้ว ให้ประชาชนกลุ่มนี้เข้าไปต่อแถวเพื่อรับการจัดสรรที่ดินทำกินจาก คทช. แทน

โดยทิ้งท้ายว่าการดำเนินการเช่นนี้เป็นการใช้กระบวนการกฎหมายที่มีอยู่แล้ว และเป็นการทำเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่การแก้ไขปัญหาควรยึดถือ “ถ้าไม่ได้ทำเพื่อสาธารณะประโยชน์ ผมก็ไม่เห็นด้วย” นายชัยวัฒน์กล่าว

ผู้เขียน

+ posts

นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้