ลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่แม่น้ำน้อย

ลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่แม่น้ำน้อย

เจ้าหน้าที่ กจ. 1 (ท่าเสา) และ กจ. 19 (บ้องตี้) ร่วมเดินลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่แม่น้ำน้อย จังหวัดกาญจนบุรี พบร่องรอยการตัดไม้และแผ้วถางป่า

ภารกิจหลักงานหนึ่งของมูลนิธิสืบนาคะเสถียรในปี 2561 คือ การสนับสนุนการควบคุมดูแลรักษาพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยการลาดตระเวน มีพื้นที่เป้าหมายคือกลุ่มป่าสงวนรอบผืนป่าตะวันตก (ทั้งหมด 21 หน่วยป้องกันรักษาป่า)

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มูลนิธิสืบฯ ได้สนับสนุนการเดินลาดตระเวนร่วมของเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ. 1 (ท่าเสา) และ เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ. 19 (บ้องตี้) ในบริเวณพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่แม่น้ำน้อย รอยต่อพื้นที่ตำบลบ้องตี้และตำบลวังกระแจะ ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้ชายแดนไทย-พม่า โดยมีจุดเริ่มต้นจากป่าชุมชนบ้านชายทุ่ง–เขาแดนชายแดนไทย-พม่า รวมระยะทางการลาดตระเวน จำนวน 6 กิโลเมตร

ปราโมทย์ ศรีใย เจ้าหน้าที่ภาคสนามมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้สรุปผลการเดินลาดตระเวนในครั้งนี้ว่า จากการเดินลาดตระเวนเพื่อสำรวจเก็บข้อมูลพื้นที่และป้องกันภัยคุกคาม เจ้าหน้าที่ พบภัยคุกคามการตัดไม้จำนวน 2 จุด และพื้นที่แผ้วถางจำนวน 1 จุด รวมถึงพบร่องรอยการบรรจุภัณฑ์อาหารที่ยังใหม่อยู่ จึงได้ทำบันทึกข้อมูลพร้อมถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน เพื่อนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการบริหารงานดูแลพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามขึ้นอีกในอนาคต

สำหรับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่แม่น้ำน้อย เป็นพื้นที่ป่าสงวนที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์ ลักษณะโดยไปเป็นป่าเบญจพรรณ สามารถพบเห็นไม้ใหญ่และร่องรอยสัตว์ป่าในบริเวณแหล่งน้ำได้ อย่างไรก็ตามพื้นที่ป่าสงวนแห่งนี้เคยเป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงของกลุ่มเคเอ็นยู ทำให้การตรวจตราพื้นที่อาจไม่สามารถทำได้อย่างทั่วถึงนัก และมีการพบกับระเบิดหลายจุด

นอกจากนี้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่แม่น้ำน้อยยังเป็นป่าสงวนที่อยู่ในการดูแลของระหว่างพื้นที่ทำงานของหน่วยป้องกันรักษาป่า 2 แห่ง คือ กจ. 1 (ท่าเสา) และ กจ. 19 (บ้องตี้) การสนับสนุนกิจกรรมควบคุมดูแลรักษาพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยการลาดตระเวนในพื้นที่แห่งนี้จึงได้ชักชวนเจ้าของพื้นที่ทั้ง 2 แห่งมาเดินลาดตระเวนด้วยกัน

ปราโมทย์ อธิบายว่า เหตุที่ต้องให้ทั้ง 2 หน่วยป้องกันรักษาป่ามาเดินลาดตระเวนร่วมกันนั้น นอกจากเพราะดูแลพื้นที่เดียวกันแล้ว การเดินลาดตระเวนร่วมกันยังเป็นการเสริมอัตรากำลังในการตรวจตราให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพราะหน่วยป้องกันรักษาป่ามีอัตราเจ้าหน้าที่ค่อนข้างน้อย

แต่ประเด็นที่สำคัญกว่านั้น ปราโมทย์ บอกว่า ทำให้หน่วยป้องกันรักษาป่าได้ช่วยกันสร้างฐานข้อมูลร่วมกัน เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล เกิดกระบวนการคิดและทำงานร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การดูแลพื้นที่ในแบบภาพรวมใหญ่ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้เกิดการลาดตระเวนร่วมกันของ 2 หน่วยป้องกันรักษาป่า

สำหรับกิจกรรมลาดตระเวนพื้นที่ป่าสงวนในครั้งนี้ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร นอกจากทำหน้าที่ประสานกิจกรรมแล้ว ยังได้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการเดินลาดตะเวนเพื่อใช้เป็นค่าเดินทางและเสบียงแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่

ติดตามเรื่องราวงานดูแลพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติทั้งหมดได้ที่ โครงการพัฒนาการบริหารจัดการพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในผืนป่าตะวันตก

ร่วมสนับสนุนกิจกรรมรักษาผืนป่าใหญ่กับมูลนิธิสืบนาคะเสถียรผ่านบัตรสะสมแต้มบางจาก

 


รายงาน ปราโมทย์ ศรีใย เจ้าหน้าที่ภาคสนามมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
เรียบเรียง ฝ่ายสื่อสารองค์กร มูลนิธิสืบนาคะเสถียร