จุดสมดุลระหว่างคนกับสัตว์ป่าที่ไร้สูตรสำเร็จ แล้วจะอยู่ร่วมกันอย่างไรท่ามกลางความขัดแย้ง?

จุดสมดุลระหว่างคนกับสัตว์ป่าที่ไร้สูตรสำเร็จ แล้วจะอยู่ร่วมกันอย่างไรท่ามกลางความขัดแย้ง?

คนกับสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันอย่างไรให้สมดุล ท่ามกลางความขัดแย้ง เป็นหัวข้อเสวนาที่ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม มาแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการรับมือกับความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่า ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนและยืดเยื้อ ผู้เข้าร่วมเสวนาเห็นพ้องต้องกันว่าการแก้ปัญหาในปัจจุบันต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างความยั่งยืน และการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย เนื่องจากปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นประเด็นสำคัญระดับนานาชาติ ภายใต้กรอบของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) และเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ต้องกำหนดไว้ในนโยบายป่าไม้แห่งชาติ

นายดิเรก จอมทอง เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามผลการดำเนินงานและศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้สะท้อนมุมมองจากภาคประชาชน ระบุว่าปัญหาหลักคือความเดือดร้อนของประชาชนจากสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่า ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ ความไม่สมดุล ซึ่งมีแนวโน้มที่จะฉีกออกจากคำว่าสมดุลไปเรื่อย ๆ

นายดิเรก กล่าวว่า ความไม่สมดุลด้านพื้นที่และอาหารสัตว์ป่า เกิดจากการจัดการพื้นที่ป่าขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง ป่ามีแต่ต้นไม้ แต่พืชที่เป็นอาหารสัตว์ป่ามีน้อยมาก ช้างป่าหนึ่งตัวกินอาหารประมาณ 150 กิโลกรัมต่อวัน แต่ป่าเบญจพรรณบางแห่งมีพืชอาหารสัตว์ไม่ถึง 20 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่พื้นที่ที่มีการจัดการที่ดีอาจมีหญ้าอาหารสัตว์มากถึง 300 กิโลกรัมต่อไร่ ดังนั้นการเร่งปลูกป่าโดยขาดการจัดการพื้นที่อาหารสัตว์ อาจทำให้พื้นที่อาหารลดน้อยลง รวมไปถึงรัฐยังให้ความสำคัญกับการจัดทำที่ดินสำหรับมนุษย์ทำมาหากิน (เช่น คทช. หรือ ส.ป.ก.) แต่การจัดการอาหารสัตว์ยังไม่เพียงพอ

ข้อมูลยืนยันว่า ประชากรช้างป่ากำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8.2 ต่อปี และที่สำคัญคือ ระบบนิเวศยังขาดสัตว์ผู้ล่า ทำให้วงจรการควบคุมประชากรตามธรรมชาติหายไป ซึ่งนำไปสู่คำถามว่าจำนวนช้างป่าที่เหมาะสมในแต่ละผืนป่าควรเป็นเท่าใด เนื่องจากการจัดการในปัจจุบันยังคงเป็นปัญหาและต้องมีการปรับตัว แม้จะมีองค์กรเอกชนพันธมิตรที่มีองค์ความรู้และข้อเสนอแนะที่ดี แต่ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ทำให้การผลักดันการจัดการบางอย่างทำได้ยาก

ดร.สมหญิง ทัฬหิกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เน้นย้ำว่า ‘สมดุล’ คือการที่คนกับสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและลดผลกระทบซึ่งกันและกัน โดยการบริหารจัดการของกรมอุทยานฯ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน และมี 6 ยุทธศาสตร์หลัก

ดร.สมหญิง ระบุว่ากรมอุทยานฯ มีภารกิจหลักในการดูแลรักษาและคุ้มครองพื้นที่ให้เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยของสัตว์ป่า มีการจัดการถิ่นที่อยู่เพื่อลดปัจจัยคุกคาม ฟื้นฟูแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร และแหล่งโป่ง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า รวมถึงมีการเปลี่ยนจากการปลูกไม้ต้นเป็นการทำทุ่งหญ้า เนื่องจากสัตว์ป่าต้องการพื้นที่โล่งด้วย โดยมีการทำงานร่วมกับปศุสัตว์และหน่วยงานอื่น ๆ

ในส่วนของพื้นที่กันชน (Buffer Zone) ที่ทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าออกนอกพื้นที่มีการสร้างสิ่งกีดขวาง เช่น คูกันช้างแบบกึ่งถาวร หรือแบบดาดคอนกรีต ซึ่งได้รับการผลักดันจากคณะกรรมาธิการฯ มีชุดผลักดันเจ้าหน้าที่ปัจจุบันมีประมาณ 191 ชุด โดยมีเป้าหมายเพิ่มเป็น 250 ชุด มีการจัดทำอัตราการชดเชยเยียวยาขึ้นใหม่ เนื่องจากอัตราเดิมอิงกับกระทรวงเกษตรซึ่งต่ำเกินไปและมีขั้นตอนที่ยุ่งยากการจัดการช้างที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว

ทั้งนี้ได้มีการศึกษาแนวทางเพื่อควบคุมประชากรให้อยู่ในจำนวนที่เหมาะสม และเห็นโอกาสสำหรับการใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า ซึ่งเป็นโครงการ Quick Win ที่ได้รับแรงผลักดันจากรัฐมนตรี รวมถึงการใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เช่น โมเดลกุยบุรี เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน และทำให้การอยู่ร่วมกันเป็นภาพที่ดีขึ้น

นายเอกชัย แสนดี หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เล่าถึงประสบการณ์ในผืนป่าตะวันออกว่าป่ารอยต่อที่อ่างฤๅไน ‘ล้นแล้ว’ โดยมีช้างกว่า 400 ตัวอยู่นอกพื้นที่ ความจริงในพื้นที่แนวคิดเดิมคือ ‘ดันกลับก็จบ’ นั้นไม่ได้ผล ช้างมีวัฏจักรชีวิตที่แน่นอน โดยจะออกมาหากินนอกพื้นที่เกือบทั้งปี และจะอยู่เฉพาะในป่าเพียง 3-4 เดือนในช่วงหน้าฝนเท่านั้น

การแก้ปัญหาเชิงพื้นที่ที่อ่างฤๅไนจึงเป็นการใช้เป็นแปลงทดลองขนาดใหญ่ โดยมีการปลูกพืชอาหารเฉพาะช้าง และใช้รั้วไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เคลื่อนที่ล้อมรอบเพื่อควบคุมการกิน ปัญหาหลักคือคน ปัญหาช้างนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ปัญหาคนนั้นมีมากกว่า เมื่อชาวบ้านเดือดร้อน มักจะคิดถึงเจ้าหน้าที่เป็นอันดับแรก การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการที่เจ้าหน้าที่ “ทำให้เขาดู”

นายเอกชัย เล่าต่อว่า ชุมชนต้องเรียนรู้ที่จะรู้ทันช้างและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน เพราะวิถีชีวิตแบบเดิมจะอยู่ไม่ได้ อาสาสมัครกลุ่มแรก ๆ เกิดจากคนที่ประสบภัยจากช้างเอง เพราะพวกเขาเห็นว่าลำพังเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะในอนาคต ชุมชนจะต้องเป็นผู้บริหารจัดการช้างในพื้นที่ของตนเอง

ดร.พรกมล จรบุรมย์ ผู้อำนวยการสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ประเทศไทย ที่ได้ทำงานวิจัยและใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนกรมอุทยานฯ ในพื้นที่วิกฤต 4 แห่ง และข้อมูลจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า แม้มีการป้องปรามอย่างเข้มแข็ง ช้างยังคงใช้พื้นที่ทางตอนล่างของอุทยานเช่นเดิม และไม่กลับขึ้นไปใช้พื้นที่ทางตอนบน ซึ่งเป็นความท้าทายในการดึงช้างกลับไปใช้พื้นที่อนุรักษ์ที่มีปัจจัย 4 รองรับอยู่

ปัญหาความขัดแย้งไม่ได้อยู่แค่แนวชายขอบ เพราะปัจจุบันช้างได้เข้ามาถึงครัวและในบ้าน การที่ช้างได้รับอาหารที่มีสารอาหารดีจากมนุษย์ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ช้างมีศักยภาพในการเจริญพันธุ์ได้ง่ายขึ้นหรือเร็วขึ้นกว่าสภาพธรรมชาติ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากช้าง (กรณีพลายบุญช่วยบุกเข้าบ้าน) นั้น บางชุมชนยอมรับและเข้าใจสถานการณ์ โดยไม่ถึงขั้นกลับไปทำอันตรายหรือแก้แค้นสัตว์ป่า อย่างไรก็ตาม บริบทนี้อาจไม่สามารถนำไปใช้กับพื้นที่อื่น ๆ ที่มีความขัดแย้งสูงได้ เช่น ทับลาน

นายภาณุเดช เกิดมะลิ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการพื้นที่ เพราะการจำกัดพื้นที่ความขัดแย้งควรมีแนวคิดเรื่อง Buffer Zone (พื้นที่แนวกันชน) ที่ชัดเจน เพื่อเป็น ‘สนามรบร่วม’ ที่ใช้ในการบริหารจัดการร่วมกัน โดยจำกัดพื้นที่การต่อสู้ให้อยู่ในบริเวณที่สามารถควบคุมได้

นายภาณุเดช กล่าวต่อว่า นอกจากการผลักดันอย่างเดียว ต้องมีการสร้างแรงดึงดูด เช่น การจัดทำแหล่งอาหาร เพื่อให้ช้างใช้พื้นที่ที่สามารถควบคุมได้ และลดการเคลื่อนที่ออกไปไกลนอกพื้นที่อนุรักษ์ รวมไปถึงชุมชนต้องปรับตัวในทุกมิติ ทั้งการการเปลี่ยนทัศนคติเพื่ออยู่ร่วมกัน และวางแผนการใช้ที่ดินบริเวณแนวขอบป่าอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการปลูกพืชที่สร้างแรงจูงใจให้สัตว์ป่าออกมา นอกจากนี้ การพัฒนาของมนุษย์ เช่น การทำเขื่อน ถนน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ช้างออกนอกพื้นที่ เนื่องจากแหล่งอาหารและถิ่นที่อยู่ถูกจำกัดเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามเรื่องของคนกับสัตว์ป่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลต้องยอมรับว่า ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะแต่ละพื้นที่ต้องนิยามคำว่า ‘สมดุล’ ของตนเอง และหาจุดร่วมในการทำงาน หัวใจสำคัญคือความร่วมมือและการบูรณาการ ทั้งจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคีเอกชน และชุมชน เพื่อให้การจัดการมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการแหล่งที่อยู่อาศัย การใช้เทคโนโลยีช่วยในการแจ้งเตือน การทำสิ่งกีดขวาง การปรับปรุงระเบียบกฎหมาย และการเยียวยา รวมถึงการให้ข้อมูลและการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ชุมชน

การก้าวไปสู่ความสมดุลจึงเป็นกระบวนการที่ต้องมีการปรับตัวร่วมกันของทุกฝ่าย และตระหนักว่าทุกสิ่งที่ขับเคลื่อนในประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายรองรับ การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับสัตว์ป่า เปรียบเสมือนการควบคุมหม้อต้มที่เดือดพล่าน (ความขัดแย้ง) ไม่ให้ล้นออกมาทำลายบ้าน (ชุมชน) โดยที่เราต้องคอยปรับไฟ (มาตรการ) เสริมฝาหม้อ (สิ่งกีดขวาง) และจัดการวัตถุดิบข้างใน (แหล่งอาหารสัตว์) ไปพร้อม ๆ กัน ภายใต้ความเข้าใจว่าการต้มนี้จะต้องดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน

ผู้เขียน

+ posts

นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้