จากฉะเชิงเทรา สู่ทำเนียบรัฐบาล กว่า 125 กิโลเมตร 2 เท้าก้าว 1 ความหวัง 6 วันเดิน ยืนหยัดคัดค้านโรงไฟฟ้าบูรพาฯ

จากฉะเชิงเทรา สู่ทำเนียบรัฐบาล กว่า 125 กิโลเมตร 2 เท้าก้าว 1 ความหวัง 6 วันเดิน ยืนหยัดคัดค้านโรงไฟฟ้าบูรพาฯ

ขบวนหยุดโรงไฟฟ้าบูรพา กว่า 20 คน ออกเดินเท้าจากตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นจุดตั้งของโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ รวมระยะทางกว่า 125 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อมุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือคัดค้านโครงการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรี

เวลา 13.35 น. วันที่ 6 พฤศจิกายน ขบวนเดินเท้าถึงทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนจากกลุ่มหยุดโรงไฟฟ้าบูรพาได้อ่านข้อเรียกร้องและยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรับมอบ

โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ถูกมองว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่อาจสร้างผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะต่อเกษตรกรในพื้นที่ ทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม การใช้น้ำที่มีจำกัด และมาตรฐานการผลิตทางการเกษตร

นันทวัน หาญดี หนึ่งในกลุ่มเดินคัดค้าน ระบุว่า ศักยภาพฐานทรัพยากรในพื้นที่ไม่สามารถรองรับโครงการขนาดใหญ่เพิ่มได้อีกแล้ว เนื่องจากมีมลพิษที่สะสมอยู่แต่เดิม ปัญหามลพิษเดิมที่เกิดขึ้น เช่น การปนเปื้อนสารเคมีในแหล่งน้ำสาธารณะและน้ำใต้ดินจากโรงงานในเขตอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดหาน้ำดื่มเอง และปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบ และผู้ประกอบการก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบในการแก้ปัญหา

นันทวัน ระบุต่อว่า ต้นทุนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลจะถูกผลักภาระไปให้ผู้บริโภคผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน ทำให้ ค่าไฟจะแพงขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นการปกป้องสิทธิ์ของคนไทยในฐานะที่ต้องรับภาระค่าไฟแพงแทนภาคเอกชน

การไม่เปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานยั่งยืน จะเพิ่มวิกฤตในหลายมิติวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งความสามารถในการแข่งขันจะถอยหลังลง วิกฤตความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยจะห่างมากขึ้น ฐานทรัพยากรจะเสื่อมโทรมลง และกระทบต่อมนุษย์ที่เจ็บป่วยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความร้อนที่สูงขึ้น

พร้อมเรียกร้องให้ให้นายกรัฐมนตรี มีความกล้าหาญและมีวิสัยทัศน์ของนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่ เศรษฐกิจสีเขียว ตลอดเส้นทางที่คณะเดินเท้าผ่านมาประชาชนให้การสนับสนุนการยกเลิกโครงการนี้ เพราะไม่ต้องการจ่ายค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น แต่ต้องการพลังงานที่เป็นธรรม

นันทวันกล่าวทิ้งท้ายว่า “ความคาดหวังสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวคือการให้หยุดโครงการโรงไฟฟ้าแห่งนี้ และให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานที่ยั่งยืน”

สำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เดิมคือโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อนของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS มีกำลังผลิตติดตั้ง 600 เมกะวัตต์ เป็นหนึ่งในสี่โครงการที่ชนะการประมูล IPP ปี 2550 แต่โครงการต้องหยุดชะงักกว่าสิบปีจากการคัดค้านของชุมชน เนื่องจากกังวลผลกระทบต่อสุขภาพ การเกษตรอินทรีย์ และการใช้น้ำในพื้นที่

ต่อมาปี 2562 บริษัทได้ปรับแผน เปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นก๊าซธรรมชาติ และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ โดยมีบริษัท บูรพา พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด เป็นผู้ดำเนินโครงการ NPS ถือหุ้น 65% และบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 35% มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 540 เมกะวัตต์ และสัญญาซื้อขายก๊าซกับ ปตท. ระยะเวลา 25 ปี

โครงการตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา บนเนื้อที่กว่า 127 ไร่ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก และใช้น้ำมันดีเซลเป็นพลังงานสำรอง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2568 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบปี 2570 ตามแผน PDP2018

อย่างไรก็ตาม ภาคประชาชนยังคัดค้านอย่างต่อเนื่อง โดยให้เหตุผลว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการถึงกว่า 17,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ภาคตะวันออกและจังหวัดฉะเชิงเทรามีกำลังผลิตสูงกว่าความต้องการใช้จริงหลายเท่า ทำให้การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ไม่จำเป็น

ชาวบ้านยังห่วงเรื่องการใช้น้ำของโรงไฟฟ้า ที่มีรายงาน EIA ระบุว่าจะใช้น้ำวันละ 12,000 ลูกบาศก์เมตร สูบจากคลองระบม ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัด ขณะที่พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวมีการใช้น้ำจากหลายภาคส่วนอยู่แล้ว และมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำในอนาคต

อีกทั้งยังมีข้อกังวลเรื่องการเวนคืนที่ดินกว่า 531 ไร่ เพื่อก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า ความยาว 14 กิโลเมตร ซึ่งอาจกระทบพื้นที่ทำกินของชาวบ้านใน 4 ตำบล 2 อำเภอ รวมถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ยังไม่ทั่วถึงและไม่เปิดเผยข้อมูลครบถ้วน

นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าก๊าซยังอาจปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ เขาหินซ้อน คู้ยายหมี และเกาะขนุน พื้นที่รวมกว่า 123,000 ไร่ มูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,100 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ซึ่งเป็นพืช GI ของจังหวัด และพื้นที่เกษตรอินทรีย์จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในสวนอุตสาหกรรม 304 ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้า ต่างต้องการพลังงานสะอาดเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรม Data Center และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศภายใต้แผน NDC 3.0 ที่ตั้งเป้าลดก๊าซ 109.2 ล้านตันภายในปี 2578 จึงเห็นว่าโรงไฟฟ้าก๊าซไม่สอดคล้องกับทิศทางดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม NPS ยังเป็นบริษัทที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการใช้พลังงานชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ถึง 30% และดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ การเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์จึงถูกมองว่าเป็นการดำเนินธุรกิจที่ขัดกับแนวทางพลังงานสะอาดของบริษัทเอง

ทั้งนี้ทางเพจเฟซบุ๊กหยุดโรงไฟฟ้าบูรพามีการเชิญชวนให้ร่วมลงชื่อหยุดโครงการ โดยสามารถลงชื่อได้ที่ หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์

ผู้เขียน

+ posts

นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้