พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีรุกป่า เป้าหมาย ‘ช่วยผู้ยากไร้’ หรือ ‘เอื้อนายทุน’ ? หวั่นกระทบป่า ขณะที่มาตรา 5 ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่จะได้รับนิรโทษกรรมยังไม่ชัดเจน

พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีรุกป่า เป้าหมาย ‘ช่วยผู้ยากไร้’ หรือ ‘เอื้อนายทุน’ ? หวั่นกระทบป่า ขณะที่มาตรา 5 ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่จะได้รับนิรโทษกรรมยังไม่ชัดเจน

สถานีประชาชน ไทยพีบีเอส จัดเวทีถก ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมคดีรุกป่า ซึ่งถูกเสนอขึ้นมาเพื่อมุ่งหวังช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบและให้มีที่ดินทำกินนั้น กำลังเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างหนัก โดยเฉพาะในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญที่กำลังพิจารณา เนื่องจากฝ่ายนักอนุรักษ์และนักวิชาการกังวลว่ากฎหมายฉบับนี้อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน ผู้มีอิทธิพล หรือนักการเมือง

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล รองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรฯ ในฐานะผู้ร่าง ระบุว่า ปัญหาเรื่องป่าทับคน คนทับป่า มีมานาน โดยเฉพาะหลังปี 2540 ที่รัฐบาลไม่มีนโยบายออกเอกสารสิทธิ์ให้แล้ว แม้จะมีนโยบายผ่อนผันให้คนอยู่อาศัยตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 2541 และคำสั่ง คสช. ที่ 66/57 ยกเว้นไม่ดำเนินคดีกับผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน แต่ในทางปฏิบัติ ชาวบ้านก็ยังถูกจับกุมดำเนินคดีเต็มไปหมด

ตัวเลขคร่าว ๆ พบว่าช่วงปี 2557 ถึง 2562 มีคนถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างน้อยประมาณ 29,000 ถึง 30,000 ราย ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน โดยมีผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นนายทุนไม่เกิน 20% ดังนั้น แนวคิดในการร่าง พ.ร.บ. นี้ คือการหาช่องทางคืนความเป็นธรรมให้คนกลุ่มนี้ โดยกำหนดให้ผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรมนั้นต้องเข้าสู่ช่องทางการอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำประโยชน์ตามนโยบายของรัฐบาลปกติ

กลุ่มเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ในร่าง พ.ร.บ. นี้ มีการกำหนดช่วงระยะเวลาที่ถูกดำเนินคดีคือระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2541 จนถึงปี 2562 และกำหนดระยะเวลาในการถือครองที่ดินเป็น 2 ช่วง ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ที่ได้รับการคุ้มครองตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 2541 คือ ถือครองก่อนปี 2545 กลุ่มที่ 2 ผู้ที่ถือครองช่วงปี 2545 ถึงปี 2557 โดยมีเงื่อนไขตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/57 คือต้องเป็นผู้ยากไร้ มีรายได้น้อย และไร้ที่ดินทำกิน

เลาฟั้ง ยืนยันว่าการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเป็นการตีกรอบกลุ่มเป้าหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้คนไปบุกรุกป่าเพิ่มเพื่อรอการนิรโทษกรรมในอนาคต และใครที่ไม่เข้าเงื่อนไขจะไม่ได้รับสิทธิ์นิรโทษกรรม สำหรับข้อกังวลเรื่องนายทุน ร่างกฎหมายนี้ได้ล็อกกลุ่มเป้าหมายไว้ โดยหากผู้ที่ถือครองที่ดินเกิน 25 ไร่ หรือมีการสร้างบ้านพักตากอากาศ หรือมีการกว้านซื้อที่ดินแปลงใหญ่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว จะถือว่าเป็นนายทุน ซึ่งจะไม่เข้าหลักเกณฑ์การพิจารณาตามคำสั่ง คสช. 66/57 อยู่แล้ว

ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร รองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างฯ ระบุว่า ตนเองคัดค้าน พ.ร.บ. ฉบับนี้ เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องนิรโทษกรรม หากเป้าหมายคือราษฎรผู้ยากไร้ที่ถูกดำเนินคดีและยังไม่มีที่ทำกิน รัฐบาลควรแก้ระเบียบแล้วให้เขาเข้าแถวรับสิทธิ์ตามมาตรา 64 และ 121 ของ พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ 2562 แทน ซึ่งมาตราเหล่านี้ได้จัดสรรที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้ 4.27 ล้านไร่ แก่กว่า 4,000 ครอบครัวไปแล้ว โดยชี้ว่า ร่าง พ.ร.บ. นี้เขียนแบบกว้าง ไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงว่าใครคือผู้ได้รับนิรโทษกรรม

ขณะที่ ชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธาน กมธ.สิ่งแวดล้อม วุฒิสภา กล่าวอย่างหนักแน่นว่า กฎหมายควรต้องถ่วงดุลระหว่างการดูแลระบบสังคมมือซ้าย และระบบสิ่งแวดล้อมมือขวา ซึ่งกังวลว่า พ.ร.บ. นี้อาจเป็นหายนะและเปิดช่องให้นายทุน ผู้มีอิทธิพลเข้ามาได้ โดยระบุว่าคดีใหญ่ ๆ ที่กำลังถูกฟ้องร้องและชนะคดีมาแล้วหลายคดีจะเข้าหลักเกณฑ์การนิรโทษกรรม หากกฎหมายนี้ผ่าน นายทุนที่ติดคุกไปแล้วอาจหลุดพ้นและขาวสะอาดทันที

ตัวอย่างคดีที่ถูกยกขึ้นมาเป็นข้อกังวล เช่น คดีรีสอร์ทที่เกาะรอก หรือ หาด Freedom Beach คดีบุกรุกป่า 3,000 กว่าไร่ ที่ราชบุรี ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์มาตรา 5(2) ที่ระบุว่าอยู่มาก่อนปี 2541 คดีเหมืองทองอัครา หรือคดีเจ้าพ่อเสือดำที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ที่มี 6,000 ไร่ที่ภูเรือ ซึ่งอาจได้รับอานิสงส์

ชีวภาพ ยังตั้งข้อสังเกตว่า พื้นที่ป่ากว่าล้านไร่ที่ถูกยึดคืนและรัฐใช้เงินงบประมาณกว่า 8 ล้านบาทต่อไร่ ไปฟื้นฟูแล้ว หากมีการนิรโทษกรรมและให้ชาวบ้านผู้ที่ได้รับผลประโยชน์กลับเข้าไปทำกินเหมือนเดิม พื้นที่ฟื้นฟูเหล่านั้นก็จะ “ตายแล้ว”

รศ.ดร.วีระภาส คุณรัตนสิริ รองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างฯ อาจารย์คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าเหลือเพียง 31.4% ขาดอีกเกือบ 28 ล้านไร่เพื่อให้ถึงเป้าหมาย 40% และปัญหาสำคัญที่ทำให้การพิจารณาไม่คืบหน้าคือความพยายามสร้างตัวกรอง ในมาตรา 5 เพื่อจำกัดกลุ่มคนที่จะได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะการกีดกันผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและกลุ่มนายทุน แต่กลับมีการอ้างรัฐธรรมนูญว่าต้องเท่าเทียม

ด้าน ปราโมทย์คริษฐ ธรรมคุณากร ที่ปรึกษาประจำ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างฯ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ผ่านวาระ 1 มาแล้ว แต่ขณะนี้การพิจารณาเรียงลำดับมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 5 ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่จะได้ความรับนิรโทษกรรม ยังไม่ชัดเจน ทำให้การพิจารณาช้า โดยเปรียบว่าการร่างกฎหมายนี้เหมือนการ “ปรุงอาหาร” ที่ส่วนผสมยังไม่ลงตัว

ส่วนอัยการสูงสุดได้แจ้งข้อสังเกตถึงความไม่ชัดเจนหลายประเด็น เช่น ร่างนี้ไม่สามารถระบุบุคคลผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่จะได้รับนิรโทษกรรมอย่างชัดเจน อาจเกิดปัญหาการแทรกแซงและแสวงหาผลประโยชน์ การกำหนดขอบเขตเชิงพื้นที่ยังไม่ชัดเจน อาจส่งผลกระทบต่อกลไกการบังคับใช้กฎหมาย การกำหนดให้พนักงานอัยการต้องมีคำสั่งไม่ฟ้องเท่านั้น เป็นการจำกัดการใช้ดุลยพินิจของอัยการ ซึ่งขัดต่อหลักการที่อัยการเป็นองค์กรอิสระ

ขณะนี้การพิจารณาคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70% แต่มาตรา 5 ยังเป็นจุดที่ต้องหาข้อยุติ ฝ่ายผู้ร่างยังคงพยายามสร้าง ‘ตัวกรอง’ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเพียงผู้ยากไร้เท่านั้นที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง ส่วน ชีวะภาพ และ ชัยวัฒน์ ยังคงแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่าหากไม่มีการเขียนตัวกรองให้ปักปากกาวงชัดเจน ว่าใครไม่ควรได้รับนิรโทษกรรม จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อพื้นที่ป่าที่เหลืออยู่ของประเทศ

การนิรโทษกรรมครั้งนี้เป็นเสมือน มีดสองคม ด้านหนึ่งต้องการตัดวงจรปัญหาความยากจนและการถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมของชาวบ้าน แต่อีกด้านหนึ่งหากไม่มีการระบุตัวตนและขอบเขตพื้นที่ที่ชัดเจน ย่อมเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และทำลายความพยายามในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าที่รัฐได้ดำเนินการไปแล้ว

อย่างไรก็ตามสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สมาคมอุทยานแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายรักประเทศไทย เชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. ….

สามารถร่วมลงชื่อได้ที่ลงชื่อคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมผู้บุกรุกป่า

อ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. ….โดยนายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล จากพรรคประชาชน

อ่านร่างพระราชบัญญัติยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน พ.ศ. …. โดยนายซูการ์โน มะทา จากพรรคประชาชาติ

ผู้เขียน

+ posts

นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้