หนึ่งในภัยเงียบที่กำลังคืบคลานและสร้างผลกระทบรุนแรงที่ไม่อาจมองข้าม คือ “มลพิษข้ามพรมแดน” ซึ่งไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติ แต่เป็นผลพวงจากการกระทำของมนุษย์ที่ไร้ความรับผิดชอบ กรณีแม่น้ำกกที่ไหลผ่านภาคเหนือของประเทศไทยคือภาพสะท้อนชัดเจนของวิกฤตนี้ เมื่อแม่น้ำสายสำคัญกลายเป็นแหล่งปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองในต่างแดน นำไปสู่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชีวิตของผู้คน และความมั่นคงของระบบนิเวศท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ย้อนกลับไปเมื่อ 14 มีนาคม 2568 มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ได้เผยแพร่แถลงการณ์ที่ทำให้สื่อ และสาธารณชนหันมาจับตามองสถานการณ์ “มลพิษข้ามพรมแดน” อย่างจริงจัง หลังชาวบ้านกว่า 700 ชีวิตจากตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันที่ริมแม่น้ำกกเพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ พร้อมถือป้ายรณรงค์เรียกร้องให้มีการปกป้องแม่น้ำสายนี้จากผลกระทบรุนแรงที่เชื่อมโยงกับการทำเหมืองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นเหตุของสารพิษที่ไหลลงแม่น้ำและสร้างความเสียหายต่อทั้งระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย
แม่น้ำกกแม่น้ำสำคัญของภาคเหนือ
หากกล่าวถึงแม่น้ำกกก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นแม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือ มีความยาวรวม 285 กิโลเมตร ไหลจากทิวเขาแดนลาวและทิวเขาผีปันน้ำในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ก่อนเข้าสู่ประเทศไทยทางอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แล้วไหลต่อผ่านจังหวัดเชียงรายและลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน พื้นที่ลุ่มน้ำกกมีขนาดใหญ่ประมาณ 10,875 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยจากข้อมูล กชช.บุว่าปี 2552 พบว่ามีประชากรมากถึง 657,940 คนที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำแห่งนี้ ซึ่งพึ่งพาแม่น้ำกกในการดำรงชีวิต ทั้งด้านการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการประมงพื้นบ้าน
คุณภาพของแหล่งน้ำจากดีสู่วิกฤต
ในอดีต แม่น้ำกกถือว่าเป็นแหล่งน้ำที่มีคุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ถึงดี โดยเฉพาะเมื่อระยะห่างจากปากแม่น้ำเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำตั้งแต่ปี 2542 พบปัญหาคุณภาพน้ำต่ำในบางช่วง เช่น ค่าสังกะสีที่เกินมาตรฐาน และการเพิ่มขึ้นของสารแขวนลอย ความขุ่น ค่าบีโอดี รวมถึงปริมาณเหล็ก ซึ่งเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมโดยไม่มีการบำบัดที่เหมาะสม และจากสถาการณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 กรมควบคุมมลพิษตรวจพบว่าสารหนูในแม่น้ำกกเกินค่ามาตรฐานใน 15 จุด สะท้อนถึงปัญหาที่กำลังลุกลามและรุนแรงมากขึ้น
เหมืองแร่ต้นตอของมลพิษข้ามพรมแดน
จากการรายงานของ Thai PBS พบว่า สารหนูที่ตรวจพบในแม่น้ำกกมีแหล่งที่มาเชื่อมโยงกับการทำเหมืองแร่ทองคำในรัฐฉาน โดยเฉพาะบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย การขุดเหมืองเหล่านี้มีลักษณะของการเปิดหน้าดินจำนวนมากเพื่อสกัดแร่ทองคำ โดยไม่ได้มีการจัดการตะกอนหรือดินข้างเคียงอย่างเหมาะสม ทำให้โลหะหนัก เช่น สารหนู แคดเมียม และปรอท จากแหล่งแร่ธรรมชาติถูกชะล้างลงสู่แม่น้ำทุกครั้งที่ฝนตกหรือเกิดน้ำหลาก ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มว้าแดง ทำให้รัฐบาลเมียนมาไม่สามารถเข้าไปควบคุมหรือจัดระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตใต้น้ำและชุมชน
ภาพถ่ายปลาลักษณะที่มีความผิดปกติซึ่งเกิดจากการติดเชื้อถูกเผยแพร่โดยสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต เพื่อให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพบปลาที่มีอาการตุ่มตามตัว หรืออาการติดเชื้อรุนแรงในแม่น้ำกก แม่น้ำโขง และแม่น้ำอื่น ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพียงแต่สร้างความวิตกในด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านอย่างชัดเจน ทั้งในแง่เศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการใช้แม่น้ำกกซึ่งถือเป็นแหล่งอาหารและการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ
รัฐบาลไทยดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง?
“คงเป็นคำถามที่หลายคนต้องการคำตอบ” เพราะเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามปกติ ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน ความหวังก็ขึ้นอยู่กับหน่วยงานจากทางภาครัฐว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาอย่างไร
ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งเร่งด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดน โดยได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีดูแลการประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำเนินการติดตามแหล่งที่มาของปัญหา เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและจัดการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการหารือเพื่อหยุดหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมืองในฝั่งเมียนมา แต่คำถามคือการเจรจาจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ เพราะจากที่กล่าวไปข้างต้น พื้นที่ดังกล่าวยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มว้าแดง
ฝายดักตะกอนแนวทางการแก้ไข ทางออกที่ยังเป็นคำถาม
การขุดลอกแม่น้ำกกในระยะทาง 3 กิโลเมตร การทำฝายดักตะกอน การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำอย่างใกล้ชิด และการให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่พิจารณาความช่วยเหลือเมียนมาในการทำเหมืองอย่างถูกวิธี แนวทางดังกล่าวยังเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักวิชาการและภาคประชาสังคม ว่าจะสามารถแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ” ได้มากน้อยเพียงใด
แนวคิดการสร้างฝายดักตะกอนในแม่น้ำกกเป็นแนวทางที่รัฐบาลเสนอเพื่อสกัดตะกอนปนเปื้อนสารพิษก่อนที่จะไหลเข้าสู่พื้นที่ชุมชน ทว่าเสียงสะท้อนจากชาวบ้านและแถลงการณ์จากสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าการสร้างฝายไม่สามารถแก้ไขต้นตอของปัญหาได้จริง และอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแม่น้ำมากกว่าที่คิด อีกทั้งยังเปรียบเปรยว่า “ประเทศไทยไม่ใช่โรงกำจัดสารพิษจากข้ามแดน” การทุ่มงบประมาณมหาศาลในการสร้างฝายอาจไม่คุ้มค่าหากยังไม่สามารถหยุดเหมืองในฝั่งเมียนมาได้ “รัฐควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ”
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุว่า หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกกอย่างตรงจุด โดยเฉพาะการปิดเหมืองต้นเหตุอย่างจริงจัง ผลกระทบในระยะยาวอาจลุกลามครอบคลุมในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเกษตร การท่องเที่ยว การประมง และวัฒนธรรมของท้องถิ่น รายได้ของคนในพื้นที่อาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และหากสถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น อาจนำไปสู่การอพยพถิ่นฐานของประชาชนในบางพื้นที่
นอกจากนี้ยังกังวลต่อปัญหามลพิษสะสมที่อาจส่งผลต่อทั้งระบบนิเวศ โดยเฉพาะอันตรายจากการนำทรัพยากรที่ปนเปื้อนมาใช้หรือบริโภค ซึ่งท้ายที่สุดอาจทำให้แหล่งอาหารธรรมชาติขนาดใหญ่ของชุมชนหายไปโดยไม่สามารถกู้คืนได้
ภัยที่ผู้ได้รับผลกระทบไม่ได้ก่อ แล้วใครรับผิดชอบ?
กรณีมลพิษแม่น้ำกกไม่ใช่ภัยธรรมชาติ หากแต่เป็นผลลัพธ์จากการละเลยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่แม่น้ำกกยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง สารพิษก็ไหลตามมาเช่นกัน คำถามคือ รัฐบาลไทยจะสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างจริงจังหรือไม่? ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจะได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรมแค่ไหน? และท้ายที่สุด ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับภัยพิบัติที่ประชาชนไม่ได้ก่อ แต่ต้องแบกรับผลเต็ม ๆ บนแหล่งน้ำของตนเอง
อ้างอิง
- แถลงการณ์จากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่
- สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(ลุ่มน้ำกก)
- เจาะลึกการทำเหมืองแร่ Thai PBS
- สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
ผู้เขียน
นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้