เมื่องานบังคับให้คุณต้องเข้าป่า คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อห้องทำงานไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยมอีกต่อไป

เมื่องานบังคับให้คุณต้องเข้าป่า คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อห้องทำงานไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยมอีกต่อไป

“ชีวิตของคนที่นี่น่าอิจฉาเนอะ…”

บทสนทนาหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างทางของผู้เขียนกับเพื่อนร่วมงานที่มีเหตุให้ต้องลงพื้นที่ในทุ่งใหญ่นเรศวรแห่งนี้

มันคงจะดีไม่น้อยหากเช้าของการทำงานของคุณไม่ต้องเร่งรีบเพื่อไปสแกนนิ้วให้ทันก่อนเวลาเข้างาน ไม่ต้องเผื่อเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเพราะปัญหารถติด ไม่ต้องไปนั่งเบียดกับผู้คนนับร้อยบนรถไฟฟ้าหรือรถเม เพราะสำหรับคนเมืองอย่างเราแล้วแค่ไปถึงออฟฟิศให้ทันก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ส่วนอาหารเช้าค่อยไปนั่งทานหลังจากที่สแกนนิ้วเข้างานเอาก็ได้

เราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาและไปถึง อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เวลา 23.00 น. โดยประมาณ จุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้คือหมู่บ้านทิไล่ป้า และหมู่บ้านจะแก ทั้ง 2 หมู่บ้านตั้งอยู่ในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ภารกิจของการลงพื้นที่ในครั้งนี้คือการเข้าไปฝึกอาชีพให้กับคนในพื้นที่ เพื่อให้เขาสามารถดำเนินชีวิตและอยู่ร่วมกับป่าผืนใหญ่ผืนนี้

ในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก จะเป็นพี่น้องชาวกะเหรี่ยงโผล่ว ถือเป็นชุมชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในป่ามาหลายชั่วอายุคน ชุมชนที่นี่มีวิถีชีวิตที่น่าหลงใหล กิจกรรมทุกอย่างผ่านไปแบบเรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมด้านอาหาร การแต่งกาย การทำพืชไร่ รวมไปถึงกิจกรรมที่ส่งเสริมให้แต่ละหมู่บ้านได้มาพบปะกัน

ชุมชนที่นี่มีทั้งหมด 7 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านกองม่องทะ หมู่บ้านเกาะสะเดิ่ง หมู่บ้านสะเนพ่อง หมู่บ้านทิไล่ป้า หมู่บ้านไล่โว่ หมู่บ้านจะแก และหมู่บ้านซาราวะ ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี

 

 

12 กุมภาพันธ์ 2562 แดดอ่อน ๆ จากดวงอาทิตย์สาดหน้าเป็นช่วงเวลาที่บอกเราว่า ถึงเวลาที่ต้องตื่นไปทำภารกิจกันแล้ว ผู้เขียนและเพื่อนร่วมทีมอีก 6 ชีวิต เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้จัดเตรียมมาจากกรุงเทพฯ  พร้อมเดินทางไปยังศาลารวมใจ สถานที่ที่ทางพี่ปลาน้อย มนตรี กุญชรมณี เจ้าหน้าที่ภาคสนามพื้นที่กาญจนบุรี และพี่พัชร พัชราภรณ์ ต๊ะกู่ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมงานผ้าทอ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้นัดชาวบ้านหมู่บ้านทิไล่ป้าที่มีความสนใจเรื่องของการทำผ้าทออันเป็นเอกลักษณ์ของพี่น้องชาวกะเหรี่ยงโผล่วแห่งนี้ ภารกิจของเราในเช้าวันนี้คือการเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้าน เรื่องกฎกติกาและข้อตกลงในการรวมกลุ่มผ้าทอ ถึงเหตุผลว่าทำไมต้องมีการรวมกลุ่ม และกฎกติกาที่ว่านี้จะช่วยทำให้กลุ่มสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร

พี่พัชรเล่าให้ฟังว่าการรวมกลุ่มผ้าทอในพื้นที่ทุ่งใหญ่ตก เป็นการขยายพื้นที่กลุ่มผ้าทอจอมป่า ซึ่งเดิมทีจะทำงานเฉพาะในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จนถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันออกอำเภออุ้มผาง จังหวัดตากเท่านั้น แต่ในปีนี้ได้ขยับขยายมาทำงานร่วมกับพื้นที่ทุ่งใหญ่ตกมากขึ้น โดยเริ่มจากหมู่บ้านทิไล่ป้า และจะแก การขยายพื้นที่กลุ่มผ้าทอจอมป่าในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านแล้วยังเป็นการช่วยรักษาผืนป่าที่พวกเขาอยู่ด้วย เพราะรายได้ส่วนหนึ่งที่หักเข้ากองทุนกลุ่มจะนำไปหนุนเสริมกิจกรรมชุมชนที่เกี่ยวกับงานอนุรักษ์ผืนป่า วิธีการทำงานแบบกลุ่มภายใต้กฎกติการ่วมกันจะช่วยให้การทำงานของกลุ่มเข้มแข็งมากขึ้น

 

ภาพการประชุมกับสมาชิกผ้าทอ หมู่บ้านทิไล่ป้า

 

การพูดคุยกับชาวบ้านหมู่บ้านทิไลป้าได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี หลังจากนี้ก็จะเป็นงานของพี่ปลาน้อยที่จะช่วยเข้ามาหนุนเสริมการทำงานให้กับสมาชิกกลุ่ม ภารกิจต่อไปของทีมคือการไปเวิร์กช้อปย้อมด้ายจากสีธรรมชาติที่หมู่บ้านจะแก ซึ่งอยู่ไกลออกไปประมาณ 30 กิโลฯ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง

บ่ายกว่า ๆ รถทีมงานเริ่มเคลื่อนออกจากหมู่บ้านทิไล่ป้า รถกระบะสีขาวที่ถูกปรับให้สูงกว่ารถทั่วไป ช่วยให้การเดินทางของเราในครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี มันสามารถวิ่งผ่านห้วยแบบทุลักทุเลน้อยที่สุด แถมยังวิ่งสู้สุดทางแม้ทางจะชันมากขนาดไหน 30 กิโลฯ กับเวลาเดินทางกว่า 4 ชั่วโมงบนรถเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยมาก แต่นี่คือวิธีที่สะดวกและเร็วที่สุดแล้ว

การเข้ามาในพื้นที่ทุ่งใหญ่ตกครั้งนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าพี่น้องชาวกะเหรี่ยงเดินเท้ากันเก่งมาก พวกเขาสามารถเดินจากบ้านเพื่อไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งได้อย่างสบาย ๆ หากเป็นคนนอกอย่างเราคงจะเหนื่อยหอบตั้งแต่เนินแรกแล้ว เขาไม่ได้มองว่าสิ่งที่ดำเนินอยู่เป็นเรื่องลำบากอะไรเพราะนี่คือวิถีชีวิตของเขา แม้การเดินเท้าจะเป็นการสัญจรหลักแต่ก็มีบางบ้านที่มีรถจักรยานยนต์ไว้เดินทาง หรือรถอีต๊อก (บางบ้านเรียกอีแต๋น) เพื่อช่วยขนส่งผลผลิตทางการเกษตร แต่ในบางครั้งเราอาจจะเห็นพวกเขานั่งรถอีต๊อกเพื่อไปหาเพื่อนบ้านที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน

 

 

13 กุมภาพันธ์ 2562 ห้องทำงานของเราในวันนี้ยังคงอยู่ในทุ่งใหญ่ตก พี่พัชรบอกว่าวันนี้เรามีนัดเวิร์กช้อปย้อมสีธรรมชาติกับสมาชิกกลุ่มผ้าทอบ้านจะแก อันที่จริงทีมงานเดินทางมาถึงตั้งแต่เย็นวันที่ 12 กุมภาฯ แล้ว พอมาถึงบ้านสมาชิกกลุ่มทุกคนก็ดูหมดเรี่ยวหมดแรงจากการเดินทาง แต่งานทุกอย่างต้องดำเนินต่อไปเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเวิร์กช้อป

การเวิร์กช้อปในวันนี้ได้รับความร่วมมือจากสมาชิกเป็นอย่างดี ทุกคนดูมีความสุขและตื่นเต้นกับสีที่ปรากฎบนด้าย บางด้ายปรากฏเป็นสีแดงที่ได้จากเปลือกไม้ประดู่ สีเหลืองอ่อนจากเปลือกต้นมะม่วง สีน้ำตาลจากโคลน ซึ่งด้ายที่ได้จากการย้อมสีในวันนี้จะนำไปทอเป็นผ้าทอ ย่าม รวมไปถึงเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่น้องชาวกะเหรี่ยง

 

สมาชิกกลุ่มผ้าทอกำลังทำความสะอาดด้าย
ด้ายที่ผ่านการย้อมสีธรรมชาติ

 

การเดินทางมาทุ่งใหญ่ตกในครั้งนี้เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งที่ผู้เขียนได้สัมผัสเท่านั้น เป็นมุมที่เรารู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก ๆ กับเวลาที่ผ่านไป พวกเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าตามแฟชั่นสมัยใหม่แต่กลับมีเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ไม่มีตึกสูง ๆ ไว้ขึ้นไปถ่ายวิวสวย ๆ แต่เขามีต้นไม้ใหญ่ที่ถูกโอบด้วยภูเขาสูงชัน ไม่มีกาแฟยี่ห้อดังแต่กลับมีต้นกาแฟที่ปลูกไว้ทานเอง และไม่มีภัตตาคารหรูแต่กลับมีอาหารอร่อย ๆ ที่เพื่อนบ้านทำมาให้ เราอาจจะมองว่าคนที่อยู่ในป่าลึกคงจะลำบากน่าดู แต่ใครจะไปรู้ว่าคนที่อยู่ในเมืองอย่างเราต่างหากที่น่าสงสาร

 


บทความและภาพ นูรซาลบียะห์ เซ็ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร มูลนิธิสืบนาคะเสถียร