ในโลกที่ปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) กลายเป็นประเด็นสิ่งแวดล้อมระดับโลก หลายคนอาจไม่เคยนึกว่าอาหารที่เหลือจากห้างสรรพสินค้าจะสามารถกลายเป็นทรัพยากรที่ช่วยชีวิตสัตว์ป่าได้ แต่สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นจริง ผ่านความร่วมมือระหว่าง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิสืบนาคะเสถียรที่จุดประกายแนวคิด
จุดเริ่มต้นของความร่วมมือจากใจที่เห็นคุณค่าของชีวิต
หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2565 งบประมาณภาครัฐจำนวนมากถูกนำไปใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชน หน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงกรมอุทยานฯ ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนงบประมาณในการจัดหาอาหารสำหรับสัตว์ป่าที่อยู่ในศูนย์ช่วยเหลือและสถานีเพาะเลี้ยงทั่วประเทศ
ในขณะเดียวกัน บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) มีอาหารส่วนเกินจากกระบวนการจำหน่ายที่ยังมีคุณภาพดีเพียงพอสำหรับการบริโภค แต่ไม่มีช่องทางในการนำไปใช้ประโยชน์ ช่องว่างนี้เองที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร มองเห็นเป็นโอกาสที่ดีแห่งการการอนุรักษ์
มูลนิธิสืบฯ จึงได้เข้ามาเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เกิดเป็น “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางอาหารเพื่อสัตว์ป่า” ครั้งแรกในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งต่อมากลายเป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จในด้านการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนของประเทศ
อาหารส่วนเกินที่ไม่สูญเปล่าอีกต่อไป
โครงการนี้เริ่มจากแนวคิดง่าย ๆ คือ “ของเหลือที่ยังดี ไม่จำเป็นต้องทิ้ง” อาหารส่วนเกินจากห้างแม็คโครและโลตัส ซึ่งยังอยู่ในสภาพดี ได้ถูกคัดแยกและส่งต่อให้แก่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าและศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าทั่วประเทศ
ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการดำเนินงาน (พ.ศ. 2565 – 2568) มีหน่วยงานภายใต้กรมอุทยานฯ เข้าร่วมแล้วกว่า 16 แห่ง ทั้งสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าและศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่า โดยได้รับอาหารสนับสนุนรวมกว่า 2,310 ตัน ซึ่งสามารถนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ป่าได้จริงกว่า 1,590 ตัน
อาหารเหล่านี้ได้กลายเป็นชีวิตให้กับสัตว์ป่าที่กำลังฟื้นฟู เช่น เก้ง กวาง นกเงือก และสัตว์ป่าหลากหลายชนิดที่รอวันกลับคืนสู่ธรรมชาติ นอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของหน่วยงานภาครัฐแล้ว ยังลดปริมาณขยะอินทรีย์ที่อาจปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอีกด้วย
นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า โครงการนี้ช่วยให้กรมอุทยานฯ ลดค่าใช้จ่ายได้มาก และยังเพิ่มสวัสดิภาพสัตว์ป่าให้ได้รับอาหารที่เหมาะสม สัตว์ที่กำลังฟื้นฟูสามารถกลับคืนสู่ป่าได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยลดปัญหาขยะอินทรีย์และก๊าซเรือนกระจก ถือเป็นตัวอย่างของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเป็นโมเดลที่สามารถขยายผลได้ในอนาคต



การเปลี่ยนคำที่เปลี่ยนมุมมอง
จาก Food Waste สู่ Food Surplus ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับที่ 3 ซึ่งมีการลงนามในเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้มีการปรับถ้อยคำสำคัญจากอาหารส่วนเกิน (Food Waste) เป็น อาหารส่วนเกิน (Food Surplus) เพื่อสะท้อนมุมมองใหม่จากของเหลือทิ้งไร้ค่า กลายเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและสร้างประโยชน์ได้จริง
คำว่า Food Surplus ไม่เพียงเปลี่ยนภาพลักษณ์ของโครงการ แต่ยังเปลี่ยนทัศนคติของสังคมต่อการจัดการอาหารอย่างมีความรับผิดชอบ เป็นการยืนยันว่าทรัพยากรทุกอย่าง หากบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ย่อมสามารถสร้างคุณค่าใหม่ได้เสมอ
บทบาทของมูลนิธิสืบนาคะเสถียรที่มากกว่าการประสานงานเบื้องหลังความสำเร็จของโครงการนี้ มูลนิธิสืบฯ ไม่ได้เป็นเพียงผู้ประสานงาน แต่เป็นแรงผลักดันที่เชื่อมโยงภาคส่วนต่าง ๆ ด้วยจิตวิญญาณของการอนุรักษ์
จากการเห็นปัญหาเล็ก ๆ ของสัตว์ป่าที่ขาดอาหาร สู่การสร้างระบบจัดการอาหารส่วนเกิน มูลนิธิสืบฯ ได้แสดงให้เห็นว่า “การอนุรักษ์” ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการอยู่ในป่าเท่านั้น แต่อาจเริ่มต้นได้จากการจัดการทรัพยากรที่คนมองข้ามในชีวิตประจำวัน
ร่วมสร้างโลกยั่งยืนของสัตว์ป่า
โครงการอาหารส่วนเกินเพื่อสัตว์ป่าเป็นตัวอย่างของ “การร่วมมือเชิงสร้างสรรค์” ที่เชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป้าหมายเดียวคือความยั่งยืนของชีวิตบนโลกใบนี้
จากอาหารที่เคยถูกทิ้ง กลายเป็นพลังชีวิตของสัตว์ป่า จากขยะอินทรีย์ กลายเป็นทรัพยากรเพื่อสิ่งแวดล้อม และจากความตั้งใจเล็ก ๆ ของมูลนิธิสืบฯ กลายเป็นต้นแบบของการจัดการอาหารอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม สัตว์ป่าส่วนใหญ่ที่อยู่ในสถานีเพาะเลี้ยง เป็นสัตว์ของกลาง ที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดได้จากการลักลอบค้าหรือครอบครองโดยผิดกฎหมาย ที่ถูกนำมาเลี้ยงโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังมีสัตว์ป่าที่ บาดเจ็บ ป่วย ถูกทอดทิ้ง หรือพลัดหลงจากถิ่นอาศัยเดิม ซึ่งได้รับการดูแล ฟื้นฟูสุขภาพ และเตรียมความพร้อมก่อนจะถูกปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างเหมาะสม
สุดท้ายแล้ว สัตว์ป่าควรได้ใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติซึ่งถือเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกมัน ไม่ควรถูกลักลอบค้าหรือครอบครองโดยผิดกฎหมาย เพื่อคงไว้ซึ่งความสมดุลของระบบนิเวศและความงดงามของธรรมชาติที่เราทุกคนร่วมกันปกป้อง




ผู้เขียน
นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้



