ต้นเดือนสิงหาคม ที่อาคารฝึกอบรมเขาหินแดง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ในห้องประชุมเต็มไปด้วยหัวหน้าหน่วยและเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจากหน่วยพิทักษ์ป่าต่างๆ ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
เจ้าหน้าที่ในชุดลายพราง เดินทางมาร่วมกิจกรรมอบรมที่จัดโดย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ภายใต้หัวข้อที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่มากด้วยความลึกซึ้งและท้าทายในการทำงานอย่าง ‘การสื่อสารและการจัดการความขัดแย้งกับชุมชน’
แม้เป็นหลักสูตรรวบรัด ใช้เวลาหนึ่งวันครึ่ง แต่กิจกรรมนั้น ถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยเข้มข้น มุ่งหวังพัฒนาวิธีคิด วิธีทำงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ามาเป็น ‘นักสื่อสาร’ ที่ทำงานร่วมกับชุมชนอย่างเข้าใจ
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจปกปักษ์รักษาผืนป่ามากมายเพียงใด แต่งานของเจ้าหน้าที่คงไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ หากทำงานเพียงแค่มิติของการออกลาดตระเวนหรือจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้ ลักลอบล่าสัตว์ป่าเพียงด้านเดียว
แต่สิ่งสำคัญอีกประการ คือ การสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของงานอนุรักษ์ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับผู้คนรอบพื้นที่อนุรักษ์
หลายๆ ครั้งการทำงานต้องเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อน อย่างเช่น ชาวบ้านที่ยังอาศัยการหาของป่าเพื่อยังชีพ สัตว์ป่าที่ออกมาหากินในพื้นที่ทำการเกษตรของชุมชน รวมไปถึงเรื่องแผนการขยายพื้นที่อนุรักษ์ที่อาจกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน
เรื่องราวเหล่านี้ มีโอกาสนำไปสู่เกิดความขัดแย้ง หากขาดการทำความเข้าใจ เพราะเดิมต่างคนต่างสถานะก็ต่างมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน
“ทำไมเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ไม่ควบคุมช้างให้อยู่แต่ในป่า เมื่อก่อนเคยเก็บหาเห็ดหาหน่อไม้ตรงนี้ได้ ทำไมเดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ ทำไม่ต้องกำหนดช่วงเวลา” และนานาจิปาถะคำถามมากมายพรั่งพรู
และปฏิเสธมิได้ว่า วิธีการแก้ปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐในอดีตมักพึ่งพา ‘กฎหมาย’ เป็นหลัก
วิธีดังกล่าวอาจทำให้ปัญหาคลี่คลายในระยะสั้น แต่หลายครั้งหลายคราวมันกลับก่อให้เกิด ‘รอยแผลเป็น’ ในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชุมชน
การอบรมที่มีขึ้นจึงมีเพื่อลดทอนปมขัดแย้งหลายๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำด้วยว่า ความขัดแย้งไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากแต่เป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์ เพราะทุกคนมีความคิดและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน
แต่จุดสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะจัดการความขัดแย้งเหล่านี้อย่างไร ที่ไม่นำไปสู่การแตกหัก แต่สามารถผลิกวิกฤตเป็นโอกาส สร้างความร่วมมือให้งานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติดำเนินไปอย่างราบรื่นบนฐานความเข้าใจและการมีส่วนร่วมด้วยกันทุกฝ่าย
การอบรมเริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานเรื่อง Conflict Management หรือการจัดการความขัดแย้ง ยุทธนา เพชรนิล และอุดม กลับสว่าง สองบุคลากรผู้ผ่านประสบการณ์ด้านนี้มาโชกโชน โดยเฉพาะกับงานในโครงการจอมป่า หรือโครงการจัดการพื้นที่คุ้มครองอย่างมีส่วนร่วมในผืนป่าตะวันตก อันว่าด้วยเรื่องความขัดแย้งที่มีมานมนานนับตั้งแต่การประกาศพื้นที่อนุรักษ์ทับซ้อนกับชุมชน



ผู้บรรยายทั้งสองชี้ให้เห็นภาพรวมว่า การสื่อสารไม่ใช่เพียงการบอกหรือชี้นำ แต่คือกระบวนการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ผ่านการฟัง การพูด การแสดงออกที่เคารพซึ่งกันและกัน ท่าที บุคลิคภาพ การวางตัวอย่างฉันท์มิตร รูปแบบการจัดเวที ไปจนวิธีจัดเตรียมสถานที่ และการวิเคราะห์รากของปัญหาให้ออก
และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ คือการเปิดพื้นที่ให้ทุกเสียงมีคุณค่า
สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ยังสร้างความรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่และชาวบ้านกำลัง ‘ร่วมกันแก้ปัญหา’ ไม่ใช่ ‘เผชิญหน้ากัน’
รวมไปถึงการประเมินผลหลังเวที เช่น การวัดระดับความเข้าใจของชุมชน จำนวนผู้เข้าร่วม และการติดตามผลสะท้อนเพื่อนำไปปรับปรุง
แม้เจ้าหน้าที่ทุกคนจะมีชื่อชั้นเรื่องการเดินลาดตระเวนเก็บข้อมูลต่างๆ แต่การทำงานในป่านั้นต่างจากการทำงานกับชุมชนตรงที่ ทุกๆ บทสนทนามักมีคำถามตามมา และพิทักษ์ป่าที่เข้าร่วมอบรมหลายรายยอมรับว่า ไม่ทราบข้อมูลบางส่วนเหมือนกัน
และจริงอยู่ว่าการทำงานมวลชน อาจเป็นภารกิจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่างานของเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าก็เป็นอีกหนึ่งด้านหน้าที่มีโอกาสพบปะกับชุมชนได้บ่อยครั้ง
ฉะนั้น การรู้จักประเมินผลตอบรับจึงเป็นอีกสิ่งที่นำไปสู่การพัฒนาทักษะรอบตัว และเตรียมความพร้อมเมื่อต้องสื่อสารกับชุมชนให้มีมากขึ้น



นอกจากการบอกเล่าทฤษฎี การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการทดลองปฏิบัติในเจ้าหน้าที่ได้ออกมาสื่อสารหน้าชั้นเรียนแล้ว การอบรมแต่ถูกออกแบบให้เจ้าหน้าที่กลับไปทำ ‘แผนสื่อสาร’ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติจริง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดขั้นตอนการพบปะชุมชน การวางแผนกิจกรรมสร้างความเข้าใจ หรือแม้แต่การติดตามผลในระยะยาว
การอบรมวางกรอบงานสื่อสารไว้ 3 ประเด็น ได้แก่ การประชาสัมพันธ์เรื่องการหาของป่าเพื่อยังชีพ การลดผลกระทบสัตว์ป่าออกมาหากินในพื้นที่ทำการเกษตรของชุมชน และการประกาศเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งที่ผ่านมาประเด็นเหล่านี้มีปมความขัดแย้งซ่อนอยู่ใต้ยอดของภูเขาน้ำแข็ง
และมูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้เตรียมงบประมาณสนับสนุน ให้แผนงานที่วางไว้สามารถนำไปปฏิบัติใช้จริงในอนาคต
หรือกล่าวได้ว่าเป็นการอบรมเพื่อจุดประกายการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ที่ทำให้การสื่อสารกลายเป็นส่วนหนึ่งภารกิจงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า



หากย้อนไปกว่า 30 ปีก่อน ชื่อของ สืบ นาคะเสถียร อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ยังคงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของงานอนุรักษ์ในประเทศไทยมาจวบจนปัจจุบัน สืบไม่เพียงเป็นนักวิชาการผู้เข้าใจเรื่องราวระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ของธรรมชาติกับชีวิต แต่ยังเป็นนักสื่อสารที่มีพลังในการถ่ายทอดเรื่องราวของผืนป่าออกมาสู่สายตาคนทั้งประเทศ
ในเวลานั้น ปัญหาการล่าสัตว์ป่าและการบุกรุกพื้นที่อนุรักษ์กำลังรุนแรง แต่สังคมไทยแทบไม่มีใครรับรู้หรือให้ความสำคัญ สืบจึงเลือกใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือหลักในการทำงาน เขาเขียนรายงานวิชาการที่เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ ออกมาพูดในเวทีต่างๆ เพื่อให้สังคมมองเห็นถึงความสำคัญของผืนป่าและสัตว์ป่า
ที่สำคัญ สืบยังผลักดันให้ข้อมูลเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องราวที่ชุมชนเข้าใจได้ง่าย เขาให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับชุมชนรอบพื้นที่ อันเป็นการแสดงให้เห็นงานว่าอนุรักษ์ไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียว หากปราศจากการสร้างความร่วมมือกับคนที่อยู่ร่วมกับป่า
การจากไปของสืบในปี 2533 แม้จะเป็นโศกนาฏกรรม แต่ถือเป็น ‘เสียงเรียก’ ที่ปลุกให้สังคมไทยหันมาเห็นคุณค่าของป่าไม้และสัตว์ป่าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นหลักฐานชัดเจนที่สุดว่าการสื่อสารมีพลังเพียงใดในการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์
ในโลกปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็ว งานอนุรักษ์คงไม่อาจพึ่งพาเพียงการลาดตระเวนเงียบๆ ในป่าได้อีกต่อไป การทำงานเชิงรุกด้านการสื่อสารกับสังคมวงกว้างเป็นอีกสิ่งที่สำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเวทีพูดคุยกับชุมชน การใช้สื่อออนไลน์เพื่อเผยแพร่ข้อมูล การร่วมมือกับนักวิชาการและสื่อมวลชนเพื่อผลิตองค์ความรู้ที่เข้าถึงสาธารณชน หรือแม้แต่การเล่าเรื่องราวชีวิตของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเอง
เพราะในท้ายที่สุด งานอนุรักษ์ไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่กลุ่มเล็กๆ หากแต่เป็นภารกิจร่วมกันของทั้งสังคม
และกุญแจที่จะทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้ คือ ‘การสื่อสาร’ ที่เข้าถึง และเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วม


ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม