บันทึกเดินเท้า สำรวจร่องรอยสัตว์ป่าบริเวณป่ากันชนรอบๆ ห้วยขาแข้ง

บันทึกเดินเท้า สำรวจร่องรอยสัตว์ป่าบริเวณป่ากันชนรอบๆ ห้วยขาแข้ง

เพียงเริ่มทาง

เพียงก้าวแรกของการเดินเท้าสำรวจร่องรอยสัตว์ป่าบริเวณป่ากันชนรอบๆ ห้วยขาแข้ง เราก็พบปลอกกระสุนปืนลูกซองถูกทิ้งอยู่ตรงหน้า เราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นเจ้าของปลอกที่พบ เหตุลั่นไกมาจากจุดประสงค์ใด จะมีสัตว์ป่าตัวไหนโชคร้ายหรือไม่ (ภาวนาอย่าให้เป็นเช่นนั้น) และได้แต่คิดในใจว่า เพียงเริ่มทางก็เจอดีเสียแล้ว

26 มีนาคม 2568 ผู้เขียนได้เข้าร่วมภารกิจ ‘สำรวจเก็บข้อมูลสัตว์ป่าและกิจกรรมมนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ของสัตว์ป่า’ กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า นว.1 (แม่กระสี) กรมป่าไม้ และชาวบ้าน คณะกรรมการป่าชุมชนเขาอินวย รวม 7 ชีวิต

พวกเราเริ่มต้นกันในจุดที่ชายป่าเขาอินวย ค่อยๆ ลัดเลาะผ่านป่าเบญจพรรณ และป่าไผ่ สายตาค่อยจับจ้องมองถึงสิ่งที่เป็นหลักฐานว่าพื้นที่แถบนี้เคยมีสัตว์ป่าเดินผ่าน เข้ามาหลับนอน หาอาหาร และใช้ชีวิต รวมถึงสิ่งที่มนุษย์อย่างเราได้ทิ้งเอาไว้

บนเส้นทางในวันที่แสงอาทิตย์ทำงานอย่างไม่ขาดตกบกพร่องต่อหน้าที่ เราเดินเท้าตัดผ่านพื้นที่ทำกินชาวบ้าน ตัดเข้าป่าชุมชน ป่าเบญจพรรณ ป่าไผ่ มุทะลุดั้นด้นไปพบเจอร่องรอยต่างๆ เช่น รอยเท้า รอยมูล รอยคุ้ย รอยกินของ หมูป่า วัวแดง เก้ง

ระหว่างทางที่เดินและสิ่งที่พบ เรารู้สึกดีใจทุกคร่าวที่เห็นร่องรอยสัตว์ป่าไม่ว่าจะเห็นเพียงแค่รอยเท้าหรือรอยมูล อย่างน้อยๆ ก็ยืนยันว่าพื้นที่เป้าหมายที่เราต้องการเก็บข้อมูลมีสัตว์ป่าอยู่จริงตามสมมติฐาน หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการเดินที่ไม่เสียเที่ยว

แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยเมื่อพบร่องรอยการลักลอบตัดไม้ อันเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ผืนป่าแห่งนี้ยังมีการใช้ประโยชน์โดยตรงจากการทำไม้อยู่ ส่วนเรื่องการเก็บหาของป่าแม้ไม่พบร่องรอย แต่ก็เชื่อว่าคงมีเกิดขึ้น นั่นทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคนและสัตว์ป่าเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นทับซ้อนกันมันจะเกิดปัญหาอะไรตามหรือเปล่า ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปถึงปลอกกระสุนที่พบตั้งแต่เพียงเริ่มทางก็ชักหวั่นใจ

ครอบครัวห้วยขาแข้ง

การเดินเท้าสำรวจร่องรอยสัตว์ป่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจตามยุทธศาสตร์ที่ 2 ของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เรื่องการขยายการทำงานสู่พื้นที่รอบป่าห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่ เพื่อปกป้องผืนป่า สัตว์ป่า หรือที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ครอบครัวห้วยขาแข้ง’ อันหมายถึงการพยายามสร้างต้นแบบการจัดการพื้นที่กันชนรอบผืนป่ามรดกโลก

เพราะการปกป้องผืนป่าอนุรักษ์จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งจากองค์กรประชาสังคม หน่วยงานรัฐอื่นๆ ในอาณาบริเวณเดียวกัน และที่ขาดไม่ได้คือภาคประชาชน ชุมชนท้องถิ่นรอบๆ ป่า เพื่อนำไปสู่การดูแล และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

ซึ่งหากว่าในรายละเอียดที่ลึกลงมาอีกหน่อย งานครอบครัวห้วยขาแข้งได้แบ่งเป้าหมายและวิธีการจัดการไว้หลายรูปแบบตามบริบทของพื้นที่กันชนตั้งแต่เหนือจรดใต้ที่พบสภาพปัญหาแตกต่างกันไป

ในส่วนกิจกรรมที่ผู้เขียนเข้าร่วม เป็นแผนการทำงานของพื้นที่ซึ่งพบการกระจายตัวของสัตว์ป่าออกมาหานอกพื้นที่อนุรักษ์เป็นจำนวนมาก มีทั้งช้างป่า ลิง วัวแดง และหมูป่า นับเป็นพื้นที่แห่งความหวังในการรองรับสัตว์ป่าจากห้วยขาแข้งที่กำลังค่อยๆ เพิ่มจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนมีบางส่วนล้นออกมาหากินนอกเขตป่าอนุรักษ์ แม้ว่าบางส่วนจะมีรั้วกั้น แต่ก็ชำรุดทรุดโทรมมากแล้ว และแน่ล่ะสัตว์ป่าต่างหากินตามวิถีชีวิตและความเป็นไปของระบบนิเวศ เขาไม่รู้หรอกว่าคนเราขีดเส้นแนวเขตการจัดการเอาไว้อย่างไร ฉะนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่จะเห็น (ร่องรอย) สัตว์ป่าออกมาหากินบริเวณนี้

ขณะเดียวกัน เมื่อสัตว์ป่าออกมาหากินนอกเขตอนุรักษ์ กิจกรรมการดูแลสัตว์ป่า ซึ่งบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวนบ้าง สัตว์ป่าคุ้มครองบ้าง หรืออาจมีสถานะเป็นของป่าจึงต้องเข้มข้นขึ้น ต้องสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภายในและนอกป่าอนุรักษ์ ลำพังเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งก็ทำงานกันอย่างหนักแล้ว หากไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานรอบๆ คงเฝ้าระวังอย่างทั่วถึงได้ยาก ทางฝ่ายวิชาการมูลนิธิสืบนาคะเสถียรจึงเห็นว่าต้องเร่งหาแนวทางการจัดการ ก่อนปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์จะเกินเลยไปกันใหญ่

แต่ก่อนจะไปถึงขั้นตอนทำแผนการจัดการ จำต้องสืบเสาะรวบรวมข้อมูลมาเสียก่อน นั่นจึงเป็นที่มาของงานเดินสำรวจ

ซึ่งก่อนเริ่มการสำรวจหนึ่งวัน (วันที่ 25 มีนาคม 2568) มูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้จัดอบรมพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่การสำรวจและเก็บข้อมูลสัตว์ป่า และเรื่องการติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า (Camera Trap) ให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า มีพี่สมโภชน์ ดวงจันทราศิริ หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ นักวิจัยฝีมือดีและมากประสบการณ์เป็นวิทยากรในการฝึกอบรมร่วมกับทีมเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

โดยคาดหวังให้ผลของการอบรมนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ ด้านการสำรวจสัตว์ป่า การเก็บข้อมูลสัตว์ป่าร่องรอยสัตว์ป่า ให้กับเจ้าหน้าที่เพิ่มมากขึ้น และหวังด้วยว่า จะสามารถนำไปพัฒนาปรับใช้สำหรับการปฏิบัติงานจริงให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ส่วนจะเป็นดังหวังหรือไม่ ผลจากการเดินสำรวจและช่วงเวลาของการทำงานหลังจากนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์

ภารกิจการเก็บข้อมูล

ตลอดทั้งวันเราวางแผนจะเดินเป็นระยะทางทั้งหมด 4 กิโลเมตร แม้โดยตัวเลขอาจไม่ใช่ระยะทางที่ไกลมากนัก แต่การเดินสำรวจร่องรอยสัตว์ป่าคงไม่สามารถคำนวณเวลาตามสูตรคณิตศาสตร์ได้อย่างตรงเป๊ะ

ในการเดินเก็บข้อมูลสัตว์ป่าตามวิธีการที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียรกำหนดไว้ และเคยดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้ว (อ่านได้ที่คู่มือการสำรวจกิจกรรมมนุษย์ที่มีผลกระทบต่อสัตว์ป่าในพื้นที่อนุรักษ์) จำเป็นต้องเดินทางเป็นเส้นตรงต่อเนื่องตลอดระยะทาง โดยมีพิกัดใน GPS เป็นเครื่องมือนำทาง ซึ่งนั่นหมายความว่าเมื่อเจอไม้ล้มก็ต้องข้าม เจอหนองน้ำก็ต้องลุยฝ่า เจอภูเขาถ้ามันไม่ชันมากก็ต้องไต่เท้าเดินสู้แรงโน้มถ่วงขึ้นไป และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในทางปฏิบัติ

ในความเป็นจริงบางครั้งเราอาจตต้องเฉออกนอกเส้นทางบ้าง แต่ก็ต้องหาทางเบี่ยงกลับมาให้เป็นไปยังทิศทางเดิมตามเป้าหมาย เพื่อให้เกิดข้อมูลตามหลักวิชาการที่กำหนด

สำหรับผู้เขียนที่ไม่ใช่ ‘นักเดินป่าตัวยง’ และยังห่างไกลคำว่า ‘มือสมัครเล่น’ อยู่ไกลโข ยอมรับว่านี่เป็นงานที่หนักหนาสาหัสเอามากๆ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ต้องเดินให้ตรงทางเพียงอย่างเดียว เพียงแค่สภาพอากาศของเดือนมีนาคมก็แทบจะสุดทนแล้ว แต่เมื่อตกลงปลงใจทำและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมแล้ว มันก็มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป

ชฎาภรณ์ ศรีใส หรือ ทราย หัวหน้าฝ่ายวิชาการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้บอกถึงรายละเอียดการเดินกับผู้เขียนว่า การเดินสำรวจร่องรอยสัตว์ป่านี้จะทำการเก็บข้อมูลที่พบ เช่น ร่องรอยสัตว์ป่า อย่างรอยเท้า รวมถึงร่องรอยการเข้ามาใช้พื้นที่ของมนุษย์ที่นับรวมตั้งแต่ขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษซากถ่านก่อไฟ ปลอกกระสุนเหมือนอย่างที่พบในจุดเริ่มต้น รวมถึงกับดักสัตว์ และในทุกๆ จุดที่พบร่องรอยไม่ว่าจะของสัตว์ป่าหรือของคนจะต้องจดบันทึกพิกัดไว้เป็นหลักฐานอีกชิ้น พร้อมมอบหมายให้ผู้เขียนซึ่งอ่อนประสบการณ์ด้านวิชาการมากที่สุดเป็นผู้ช่วยถ่ายภาพสิ่งที่พบเห็นทั้งหมด จะใช้กล้องบนโทรศัพท์มือถือก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพียงแต่อาจต้องมีเครื่องมือเทียบสเกลเพื่อบอกขนาดของสิ่งที่พบได้อย่างถูกต้อง

แม้จะไม่ใช่งานที่ยากมากนัก แต่ทรายบอกว่าทุกๆ หน้าที่ของทีมเก็บข้อมูลล้วนมีความสำคัญไม่แพ้กัน เป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำงานในรูปแบบทีม ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ หากไม่มีภาพถ่ายก็จะไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ของร่องรอยต่างๆ ที่พบ ถือเป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญของงานนี้

คำพูดของทรายทำเอาผู้เขียนแอบกดดันเล็กๆ เหมือนกัน แต่เมื่อได้รับมอบหมายหน้าที่มาแล้ว ก็จะพยายามทำให้เต็มความสามารถให้สมดังที่ทีมให้ความไว้วางใจในหน้าที่

ประสบการณ์

หลังเดินทางไกลมาเป็นเวลา 6 ชั่วโมงเศษ การเดินสำรวจค้นหาร่องรอยสัตว์ป่าในวันแรกต้องจบลงก่อนกำหนดอย่างน่าเสียดาย ไม่สามารถเดินทางไปยังพิกัดจุดหมายที่ตั้งไว้ (ระหว่างทางได้ติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่าเอาไว้ด้วย) เนื่องจากมีไฟป่าเกิดอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เดินมากนักหากเดินต่อแล้วไปเจอไฟอาจเกิดอันตรายได้ และเพียงแค่เห็นควันลอยคลุ้งอยู่ไกลๆ ก็เริ่มรู้สึกระคายเคืองจมูกและดวงตาแล้ว

ตลอดทั้งวัน ผู้เขียนได้รับประสบการณ์ด้านงานอนุรักษ์ที่แตกต่างจากงานภารกิจของตนเองเป็นอย่างมาก (หัวหน้าฝ่ายของที่ระลึกมูลนิธิสืบนาคะเสถียร) และชวนให้รู้สึกทึ่งต่อความเสียสละของคนทำงานอนุรักษ์ด้านหน้าอย่างเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ไม่ว่ากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หรือกรมป่าไม้ ในวันที่สภาพอากาศร้อนและไร้สายลม นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกพี่ๆ คนทำงานต้องเจอ พวกเขาคงผ่านประสบการณ์เช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน หากขนาดหัวใจไม่ใหญ่พอ คงละทิ้งงานรักษาป่าไปหางานที่สบายกว่า แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

เท่าที่มีโอกาสได้พูดคุย ทุกคนยินดีมาทำงานตรงนี้ มิมีใครหนีหายหรือหันหลังให้เลย พวกเขายังคงก้มหน้าทำงานตามหน้าที่ เป็นผู้ปิดทองหลังพระที่ไม่มีใครเห็น และเชื่อเหลือเกินว่าคงเป็นเช่นนี้ต่อไป

กับเรื่องราวของร่องรอยสัตว์ป่าที่พบ แม้การเดินสำรวจวันแรกจะพบไม่มากนัก เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าอาจเป็นเพราะเส้นทางที่เดินมีแหล่งน้ำน้อย และเส้นทางที่เดินอยู่ใกล้จุดความร้อนจากไฟป่า อีกทั้งยังมีร่องรอยการทำไม้ สัตว์จึงอาจหลบหลีกไปใช้เส้นทางอื่นที่มีความสงบและสันติสุขมากกว่า แต่นี่ก็เป็นเพียงการคาดการณ์คร่าวๆ เท่านั้น คงต้องนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์อย่างรอบคอบอีกที

และใครจะไปรู้ เมื่อกลับมาเดินอีกครั้งในฤดูกาลที่แตกต่างไป บันทึกระหว่างการเดินทางอาจพบอะไรที่มากกว่านี้ก็เป็นได้

ผู้เขียนปฏิญาณว่าเมื่อวันนั้นมาถึงจะกลับมาเดินร่วมกับทีมงานอีกครั้ง

หมายเหตุ

(1) กิจกรรมสำรวจร่องรอยสัตว์ป่า ครั้งที่ 1 ได้ทำการสำรวจทั้งหมด 8 เส้นทาง ได้แบ่งทีมสำรวจออกเป็น 2 ทีม เดินทีมละ 4 เส้นทาง ใช้เป็นระยะเวลาทั้งหมด 4 วัน จึงแล้วเสร็จ หลังจากนี้ฝ่ายวิชาการมูลนิธิสืบนาคะเสถียรจะนำข้อมูลที่ได้กลับมาวิเคราะห์ ผลิตเอกสารสรุปการดำเนินงานออกมา แต่ยังไม่ถือกิจกรรมแล้วเสร็จทั้งหมด เพราะยังต้องกลับมาเดินสำรวจร่องรอยอีกครั้งในช่วงฤดูฝน ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องติดตามข้อมูลจากกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่าที่ติดตั้งไว้ระหว่างทาง จึงจะเกิดข้อมูลเบื้องต้นไว้สำหรับวางแผนการจัดการถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ารอบๆ ห้วยขาแข้ง

(2) กิจกรรมสำรวจร่องรอยสัตว์ป่า จะดำเนินงานอีกครั้งในช่วงฤดูฝน เพื่อเปรียบเทียบการใช้ประโยชน์ของสัตว์ป่า ในฤดูกาลที่แตกต่างออกไป

(3) กิจกรรมสำรวจเก็บข้อมูลสัตว์ป่าและกิจกรรมมนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ของสัตว์ป่า และกิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่การสำรวจและเก็บข้อมูลสัตว์ป่า ได้รับงบประมาณสนับสนุนการทำงาน ภายใต้โครงการสร้างความพร้อมต่อการรับมือสภาพภูมิอากาศในพื้นที่แนวกันชนของผืนป่าตะวันตก มี HSBC เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ

ผู้เขียน

ชอบนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ ชอบเรียกหมาทุกตัวบนโลกว่า ‘จ๋อง’ และจ๋องขี้ดื้อทุกตัว

Website | + posts

ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม