วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก” (World Environment Day) โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) เพื่อให้ประชาคมโลกหันมาตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังรุนแรงขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษทางอากาศ น้ำ ขยะพลาสติก หรือการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
วันสิ่งแวดล้อมโลกเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2515 จากการประชุมสิ่งแวดล้อมโลกครั้งแรกที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โดยมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมมือกันดูแลโลกใบนี้ ซึ่งมีเพียงใบเดียวสำหรับทุกชีวิต
โดยแต่ละปีจะมีการกำหนด “ธีม” หรือหัวข้อหลักที่ใช้รณรงค์ทั่วโลก เช่น
ปี 2018: “Beat Plastic Pollution” รณรงค์ลดการใช้พลาสติก
ปี 2020: “Time for Nature” ย้ำถึงความสำคัญของระบบนิเวศ
ปี 2024: “Land Restoration, Desertification and Drought Resilience” เน้นการฟื้นฟูผืนดินและรับมือภัยแล้ง โดยมีประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ
ปัจจุบันสถานการณ์สิ่งแวดล้อมมีความน่าห่วงไม่น้อย โลกเผชิญกับปัญหาที่หลากหลายทั้งจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นรุนแรง พื้นที่ป่าถูกทำลาย การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความแห้งแล้งกระจายไปหลายภูมิภาค ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ขยะพลาสติกและอิเล็กทรอนิกส์ ที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำและทะเล ฯลฯ ซึ่งผลที่ตามไม่เพียงกระทบในด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจของผู้คนทั่วโลก
วันสิ่งแวดล้อมโลกจึงไม่ใช่แค่วันหนึ่งในปฏิทิน แต่เป็นโอกาสในการทบทวนบทบาทของเราในฐานะ ‘พลเมืองของโลก’ ที่ควรเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็กๆ เช่น การลดใช้พลาสติก หันมาใช้พลังงานสะอาด ปลูกต้นไม้ หรือส่งเสริมการบริโภคที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ
เพราะสิ่งแวดล้อมไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น ‘ภารกิจร่วม’ ของมนุษยชาติทั้งหมด การดูแลโลกวันนี้คือการดูแลอนาคตของเราเอง