อำเภออมก๋อย เป็นหนึ่งในอำเภอที่ไกลจากตัวจังหวัดมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยมีระยะทางถึง 174 กิโลเมตร
แต่นั่นยังไม่จบ เพราะสถานที่ที่จะพาไปรู้จักในครั้งนี้ต้องเดินทางจากตัวอำเภออมก๋อยโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 1099 ลัดเลาะไปตามภูเขาต่อไปอีก 72 กิโลเมตร
แม้ระยะทางจะไกลเเสนไกล แต่เส้นทางนับว่าดีเลยทีเดียว ส่วนสองข้างทางนั้นก็เข้าขั้นสวยงามเเละสร้างความเพลิดเพลินให้ผู้เดินทางได้เป็นอย่างดี
จุดหมายปลายทางครั้งนี้เราไปกันที่หมู่บ้านห้วยไม้หก ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ที่ถูกแบ่งกับ ต.แม่ตื่น ด้วยลำน้ำแม่ตื่นที่ทอดตัวจากเทือกเขาในอมก๋อยลงไปจนไปรวมกับเเม่น้ำปิงก่อนลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลที่ จ.ตาก
เส้นทางเข้าหมู่บ้านผ่านสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่เพื่อข้ามแม่น้ำเเม่ตื่นที่มีฉากหลังเป็นเเนวเขาทมึนตลอดเเนว ยอดเขาหนึ่งสูงเด่นขึ้นมาในบรรดาเทือกเขาทั้งหมด นั่นคือ ‘ดอยหละกาโจ’ ดอยหลังบ้านของคนห้วยไม้หก ที่พร้อมใจกันดูเเลดอยลูกนี้ตลอดจนผืนป่าโดยรอบครอบคลุมไปจนถึงดอยม่อนจอง อันเป็นสถานที่ที่หลายคนรู้จักกันดี
ในอดีตนั้นหมู่บ้านห้วยไม้หก ได้รับความใส่พระราชหฤทัยจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานพระราชดำริให้มีการจัดตั้ง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ เป็นแห่งแรก ในปี พ.ศ. 2534 โดยมีเป้าหมายให้คนในพื้นที่ได้มีที่ดินทำกินเป็นหลักแหล่ง พร้อมทั้งจะได้ร่วมกันฟื้นฟูป่าแหล่งต้นน้ำลำธารและส่งเสริมให้หมู่บ้านกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
พ่อหลวงเเม็ค (นายศักรนันทน์ ชายกวินภพ) ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันแห่งหมู่บ้านห้วยไม้หก ได้มีเเนวคิดที่จะสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนด้วยการนำพาผู้คนให้เข้ามาสัมผัสกับธรรมชาติผ่านผืนป่าที่พวกเราดูเเลมาเป็นอย่างดี โดยมีข้อปฎิบัติที่ชัดเจนให้กับผู้ที่จะเข้ามาเดินป่าศึกษาธรรมชาติผ่านเส้นทางดอยหละกาโจ ซึ่งจะเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีหน้า ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่มาสำรวจเส้นทางร่วมกันในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร มูลนิธิเครือเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาวิถีชีวิตชนบท The Cloud เเละมูลนิธิธรรมชาติไม่จำกัด ผู้สำรวจเส้นทางเเละวางเเนวทางจนเกิดเส้นทางเดินป่าโดยชุมชนหลายแห่ง เช่น เส้นทางเดินป่าระยะไกลขุนน้ำปัว เส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงา (ที่มีระยะทางไกลที่สุดถึง 101 กิโลเมตร) เเละที่เพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการล่าสุดคือเส้นทางเดินป่าบ้านแม่เหาะ เป็นต้น


สำรวจเส้นทางเดินป่า
เช้าวันที่หมอกหนา พวกเราสะพายเป้ใบโตเดินจากที่พักมายังจุดนัดพบ บริเวณโรงเรียนบ้านห้วยไม้หก เพื่อรวมตัวกันขึ้นรถโฟวิล เเล้วเดินทางต่อไปยังจุดเริ่มเดินเท้าท้ายหมู่บ้าน ถนนเเคบๆ ตามเเนวสันเขาที่รถเคลื่อนตัวไปทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนเล็กน้อย ระยะทางจากโรงเรียนฯ มายังจุดเริ่มเดินไม่ไกลนัก เมื่อลงจากรถ จัดเเจงสัมภาระให้เข้าที่เข้าทางอีกสักหน่อยก็ถึงเวลาตั้งขบวนเดินตามพ่อหลวงเข้าป่าหลังหมู่บ้านของเขาเอง
นอกจากพ่อหลวงเเล้วยังมีพี่ๆในหมู่บ้านมาด้วยอีก 3 คน เพื่อมาดูแนวทางว่าจะกลับมาจัดการอย่างไรกันต่อกับเส้นทางนี้ที่กำลังจะเปิดในอนาคต ทางด้านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อยเองก็ส่งชุดลาดตระเวนเข้าร่วมสำรวจเส้นทางในครั้งนี้ด้วย ซึ่งปกติเเล้วพื้นที่ตรงนี้ก็เป็นเส้นทางลาดตระเวนของทีมเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่านางนอนอยู่เเล้ว การที่มีผู้ชำนาญในพื้นที่ถึงสองทีมมาเดินร่วมกันทำให้การเดินทางมีความเเม่นยำเเละชัดเจนขึ้น
จากจุดเริ่มเดินเราอยู่กันที่ระดับความสูง 700 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาเบื้องหน้าดูด้วยสายตาไม่ไกลจากเรามากนัก มีระดับความสูงอยู่ที่ราวๆ 1,700 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่วนระยะทางที่ต้องเดินในวันนี้ไม่เกิน 5 กิโลเมตร เเละใช่เเล้ว!! การเดินไปแคมป์เเรกของวันนี้นั้นมันจะต้องชันสุดๆ ไปเลย
แต่อย่างน้อยทุกความชัน ทุกความเหน็ดเหนื่อยระหว่างเดินนั้น เรายังมองเห็นจุดหมายปลายทางของวันนี้ได้อยู่ตลอด นั่นทำให้เหมือนจะมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย การได้เดินในป่าเขียวๆ อากาศเย็นๆ ตลอดเส้นทางนั้นสร้างความสุนทรีได้เป็นอย่างดี เเละในระยะเเรกๆ ของเส้นทางจนถึงจุดพักกินข้าวเที่ยงก็มีลำธารใสสะอาดให้นักเดินทางได้ล้างไม้ล้างมือ เเละเติมน้ำก่อนออกเดินทางอีกครั้ง โดยหลังจากจุดนี้ไปเเล้ว จะสามารถเติมน้ำได้อีกครั้งก่อนถึงเเคมป์พัก ซึ่งแหล่งน้ำด้านบนจะเป็นน้ำซับให้พอดื่มกินได้เท่านั้น
หลังจากเลยจุดพักกินข้าวไปแล้ว ก็ยังคงไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ พ่อหลวงเเม็คก็พาเรานั่งพักคุยกัน เเละพาเเวะชมวิวไปเป็นช่วงๆ ของการเดิน จากระดับความสูงนี้เมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะเห็นลำน้ำแม่ตื่นทอดตัวคดเคี้ยวไปตามร่องเขา สายน้ำสะท้อนกับเเสงจ้าของดวงตะวันยามบ่ายเป็นประกายระยิบระยับ ยิ่งเดินสูงขึ้นเรื่อยๆฉากเบื้องหลังของน้ำเเม่ตื่นก็อลังการมากขึ้น ทะเลภูเขาเริ่มปรากฎตัวให้เห็นอย่างมากมาย เห็นไปไกลจนถึงภูเขาฝั่งเมียนมา





แคมป์หละกาโจ
เฮือกสุดท้ายก่อนถึงเเคมป์ ทุกคนต่างเเวะเติมน้ำกันในบริเวณหุบเขาแล้วไต่เนินขึ้นไปอีกหนึ่งอึดใจ ในที่สุดก็ถึงเเคมป์พักที่มาพร้อมกับเเสงอาทิตย์ยามเย็นสีเหลืองทองฉาบลงมาทั่วบริเวณ อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เเต่ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนั้นยังไม่ถึงขั้นหนาวจนทรมาน
เมื่อจัดเเจงกางเต้นท์เรียบร้อยเเล้ว พ่อหลวงก็พาเดินลงเนินจากที่พักไปยังจุดชมวิว นอกจากได้มองวิวหมู่บ้านหย่อมเล็กๆ เเล้ว จากมุมนี้แทบไม่เห็นป่าแหว่งๆ ตรงไหนเลย ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยป่าเขียวๆ สายน้ำเเม่ตื่น เเละคลื่นภูเขามากมาย
ค่ำคืนหลังมื้อค่ำเต็มไปด้วยเรื่องราว พ่อหลวงเล่าว่าคนที่บ้านห้วยไม้หกหากไม่ใช่คนที่รับราชการเเล้ว แทบไม่มีรายได้หลักจากการประกอบอาชีพใดเลย เพราะที่ทำการเกษตรก็มีเพียงเพื่อใช้กินกันในครัวเรือน มีการปลูกพืชผักบ้าง พอมีรายได้ในการจับจ่ายในเเต่ละวัน จึงมีเเนวคิดที่อยากผลักดันเรื่องการท่องเที่ยวชุมชนเเละการเดินป่าศึกษาธรรมชาติ โดยเห็นเเล้วว่าดอยหละกาโจนี้เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ ที่จะเป็นเเหล่งเรียนรู้ที่ดีได้ รวมถึงมีความสวยงาม จึงมีการคุยกันกับทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ถึงเเนวทางการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน คนในชุมชนก็ได้ประโยชน์จากการดูเเลพื้นที่ป่า สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้เพิ่มอีกทางหนึ่ง
รวมถึงยังได้กำหนดกฎกติกาที่ชัดเจน จำกัดจำนวนคนที่จะมาเดินในเเต่ละรอบ รับเเค่วันละหนึ่งกลุ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกัน ไม่มีลูกหาบให้บริการ เเต่มีการจัดคนนำทางในอัตราส่วนที่สัมพันธ์กับนักท่องเที่ยว ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดให้บริการในป่า ไม่มีห้องน้ำ นั่นจึงเป็นการคัดกรองคนที่จะมาในเบื้องต้น เเละเป็นการลดปริมาณขยะที่จะเกิดขึ้น เพราะเมื่อไม่มีลูกหาบ ผู้ที่เข้ามาเดินในเส้นทางนี้ก็จะนำเพียงของที่จำเป็นจริงๆ ที่ตนสามารถแบกได้เข้ามาเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมองไกลไปถึงว่า… การที่มีคนเข้ามาเดินป่าศึกษาธรรมชาติก็เป็นเสมือนการเฝ้าระวังการเกิดไฟป่าในพื้นที่ไปด้วย
การเปิดเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยหละกาโจมีช่วงเวลาที่เหมาะสมระยะเวลาสั้นๆ เพียง 3 เดือน คือ พฤศจิกายนถึงมกราคม เพราะเวลานอกเหนือจากนี้เป็นช่วงที่สัตว์ป่าเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ทางชุมชนเเละเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจึงเห็นร่วมกันว่านอกจากระยะเวลา 3 เดือนที่กำหนดแล้วจะไม่เข้ามารบกวนในพื้นที่อีก
จะขอเพียงช่วงเวลาสั้นๆ นั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนในชุมชนเเละผู้ที่มาเยือน เเละเมื่อจบฤดูกาลหนึ่งก็จะคืนพื้นที่ให้สัตว์ป่า




ใต้ผาหัวสิงห์
หลายคนอาจเคยไปเยือนเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยม่อนจองกันมาเเล้ว เเต่รู้ไหมว่าพื้นที่การดูเเลของบ้านห้วยไม้หกนั้นครอบคลุมไปถึงบริเวณดอยม่อนจองด้วย หลังจบฤดูการเดินป่าในเเต่ละปีชาวบ้านห้วยไม้หกจะจัดทีมขึ้นไปดูเเลความเรียบร้อยเเละจัดการขยะตลอดเส้นทางการเดินป่าดอยม่อนจอง
ปัญหาหนึ่งที่มักพบตลอดคือเรื่องของการทิ้งขยะไม่เป็นที่ ขยะส่วนหนึ่งถูกนำมาทิ้งบริเวณก่อนขึ้นเนินหมาหอบ ซึ่งตรงจุดนี้เป็นแหล่งต้นน้ำของชุมชนบ้านห้วยไม้หก
เเม้ได้ขอความร่วมมือเรื่องการจัดการขยะในฤดูกาลเดินป่ากันทุกครั้ง เเต่ด้วยความที่ต่างคนต่างที่มา ก็ต้องยอมรับว่ายังคงมีคนที่เพียงเพื่อผ่านมาเเล้วก็ผ่านไป ไม่ได้สนใจธรรมชาติ ไม่ใส่ใจกฎระเบียบ สร้างปัญหาให้กับพื้นที่ธรรมชาติซึ่งส่งผลกระทบกับสัตว์ป่าและคนในพื้นที่โดยรอบ
คนบ้านห้วยไม้หกเองนอกจากจะได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวเเล้ว ยังไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากส่วนนี้ เเม้จะเป็นพื้นที่รับผิดชอบของตน เเต่ทางขึ้นดอยม่อนจองที่นักท่องเที่ยวจะต้องใช้เป็นจุดเริ่มต้นนั้นไปอยู่ที่หมู่บ้านอื่น
เมื่อคนห้วยไม้หกคิดจะเปิดเส้นทางเดินป่าในป่าหลังหมู่บ้านของตนเอง จึงมีเเนวคิดจัดการระบบการเข้ามาเดินป่าในเส้นทางนี้ที่เเตกต่างออกไป โดยมุ่งหวังให้เป็นเส้นทางการเดินป่าที่มีคุณภาพ เพราะด้วยความเข้มเเข็งของกลุ่มเเละกติกาที่ตั้งไว้ ผู้มาเดินป่าในเส้นทางนี้ก็นับว่าคัดมาเเล้วในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน
แคมป์คืนที่สองตรงข้าม ‘ผาหัวสิงห์’ พวกเราได้ฟังถึงเเนวคิดและความตั้งใจของทีมงานจากบ้านห้วยไม้หก เเละได้ตกลงปลงใจว่าจะช่วยเป็นกำลังเสริมของความตั้งใจนี้ โดยทำในเรื่องที่พวกเราทำได้ เริ่มจากการเป็นหนูทดลองในเส้นทางการเดินป่าฯ การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้คนในวงกว้างในอนาคต (หากเส้นทางนี้จะเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2569) เเละการวางเเนวทางในการจัดการเส้นทางฯ จากตัวอย่างที่เคยทำมาเเล้วในหลายๆ พื้นที่ซึ่งทดลองมาเเล้วว่าได้ผลดี
ลำธารขนาดปานกลางไม่ไกลจากแคมป์ในวันนี้ ไหลมาจากหุบตรงเนินหมาหอบ ซึ่งจากมุมนี้สามารถมองเห็นเนินหมาหอบได้อย่างชัดเจน รวมถึงเห็นเกือบทั้งหมดของดอยม่อนจอง ในลักษณะของเเผงหินทอดตัวเป็นเเนวยาวดูน่าเกรงขาม น้ำในลำธารถูกตักขึ้นมาเเล้ว เเม้น้ำจะดูใสเเจ๋ว แต่เมื่อนึกถึงภาพกองขยะที่ถูกซุกซ่อนอยู่ตรงต้นน้ำ ก็ทำให้เกิดความคลางเเคลงใจขึ้นเล็กน้อย






มุ่งหน้าสู่… สันม้าวิ่ง
จากเเคมป์คืนที่สอง (ในที่นี้ขอเรียกว่าลานชมผาหัวสิงห์) ช่วงเช้าหลังจัดการอาหารเช้าเเละเก็บข้าวของเรียบร้อยเเล้ว หนึ่งในสมาชิกของเราก็พบกับเจ้ากะท่างน้ำตัวจิ๋วที่มาหลบอยู่ใต้เต้นท์ โดยกะท่างน้ำนี้เป็นทั้งผู้ล่าเเละเหยื่อ เป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
เมื่อออกเดินทางได้ไม่กี่ร้อยเมตรก็เริ่มไต่ระดับความสูงอีกครั้งหนึ่ง แม้จะเป็นเนินไม่สูงนักเเต่ก็เล่นเอาเหนื่อยกันไปทั้งคณะเหมือนกัน
เมื่อผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงจึงขึ้นสู่สันเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘สันม้าวิ่ง’ เรามุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณที่เรียกว่า ‘กิ่วกว้าง’ ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นทางลงยาวๆ ไปเลยจนถึงจุดหมายปลายทางที่นัดรถมารับเพื่อเดินทางกลับเข้าสู่หมู่บ้าน
จากกิ่วกว้างหากมองย้อนกลับไปยังทิศทางที่เดินจากมา จะเห็นแผงหินฝั่งดอยม่อนจองอย่างชัดเจน เป็นภาพแปลกตาไปอีกแบบ รับรองได้เลยว่าไม่เหมือนที่ไหนแน่นอน จากจุดนี้สามารถใช้เวลานั่งมองได้จุใจ มองเเล้วก็รวบรวมเเรงกาย เเรงใจ เมื่อขึ้นเป้เเล้วก็เตรียมตัวได้เลย!
เพราะทางที่ขึ้นมานั้นชันอย่างไร… ขาลงก็เป็นเช่นนั้น เม้จะไม่ใช่เขาลูกเดิม เเต่เขาเเถบนี้ก็ไม่เคยปราณีใครเช่นเคย
ช่วงเดินลงนั้นเพียงมีสติทุกย่างก้าว วางเท้าให้มั่นคง เเล้วค่อยๆ เดินไปช้าๆ ไปเรื่อยๆ ไม่เกิน 3 ชั่วโมง ก็ถึงจุดหมายปลายทางเเน่นอน แม้หลายคนจะไม่ชินหรือไม่ชอบการใช้ไม้เท้าเดินป่า เเต่ขอบอกเลยว่าสำหรับเส้นทางเดินป่าดอยหละกาโจนั้นไม้เท้าเดินป่าเป็นอุปกรณ์ที่ควรมี เพราะมันจะช่วยเราได้มากตลอดเส้นทาง ยิ่งช่วงท้ายๆ ของการเดิน ก่อนถึงจุดขึ้นรถ จะต้องมีการข้ามลำธารหลายจุด การมีไม้เท้าเพื่อช่วยในการทรงตัวทำให้การไต่ไปตามก้อนหินนั้นมั่นคงมากขึ้น
ก่อนออกจากแคมป์ควรเติมน้ำมาให้พร้อมสำหรับใช้ดื่มในสองชั่วโมงเเรก ไม่ต้องเตรียมมาเยอะจนหนักเกินไป เพราะหลังจากนั้นสามารถเติมระหว่างทางได้เรื่อยๆ อุปกรณ์กรองน้ำควรเตรียมไว้ในส่วนที่หยิบออกมาใช้ได้ง่าย
ในการเดินสามารถพักขาได้ระหว่างทาง ไม่ต้องรีบร้อน และหากพักทั้งทีก็ลองมองไปตามหน้าผาทั้งสองฝั่งเผื่อจะเจอ ‘กวางผา’ ออกมาทักทายอยู่ไกลๆ เพราะผืนป่าทั้งหมดบริเวณตั้งเเต่ที่เราย่างเท้าเข้ามาเป็นที่อยู่ของกวางผา จากการนับจำนวนประชากรกวางผาของสถานีวิจัยสัตว์ป่าดอยเชียงดาว พบกวางผาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อยมากเป็นอันดับ 3 ของพื้นที่อาศัยของกวางผาจากทั้งหมดใน 11 พื้นที่อนุรักษ์ทางภาคเหนือ






หมู่บ้านห้วยไม้หก
แม้ว่าเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติดอยหละกาโจจะพร้อมเปิดอย่างเป็นทางการในปลายปี 2569 เเต่ตัวหมู่บ้านยังคงยินดีต้อนรับผู้มาเยือนทุกท่าน หากตั้งใจหาสถานที่สงบๆ ห่างไกลผู้คนเเล้วล่ะก็ หมู่บ้านห้วยไม้หกเเห่งนี้คือคำตอบ
ปัจจุบันในหมู่บ้านมีลานกางเต้นท์บรรยากาศดี ชื่อ ‘เดอะเลเจ’ เเละในช่วงปีหน้าก็จะมี ‘เลเจทะรีสอร์ท’ ที่มีห้องพักรองรับได้ 9 ท่าน ไว้คอยให้บริการ ทั้งสองแห่งนี้ผู้มาเยือนจะได้มองเห็นดอยหละกะโจอยู่ไม่ไกล เเละได้อยู่ใกล้แม่น้ำเเม่ตื่น ซึ่งบางช่วงสามารถเดินลงไปเล่นน้ำได้
หากมาตรงช่วงวันพุธเเละวันเสาร์จะมีกิจกรรมถนนคนเดินบริเวณสะพานเข้าหมู่บ้านฯ ที่พ่อหลวงเเม็คเเละลูกบ้านนำพืชผัก ผลไม้ อาหารอันหลากหลาย เเละผ้าทอฝีมือคนในชุมชนมาวางขายกันในช่วงบ่ายๆ ไปจนถึงหัวค่ำของทั้งสองวัน
หากมาถึงหมู่บ้านลองเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้าน บางครั้งหากไปจังหวะเหมาะอาจได้เห็นการทอผ้าซึ่งเป็นวิถีดั้งเดิมของพี่น้องปกาเกอะญอบ้านห้วยไม้หก เเละอย่าลืมเเวะไปเยี่ยมเยือนพลับพลาที่ประทับทรงงานบ้านห้วยไม้หก (ลานโพธิ์) ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เคยเสด็จมาเยือนเเละใช้เป็นที่ทรงงานในครั้งนั้น ซึ่งชาวบ้านห้วยไม้หกได้ร่วมใจกันดูเเลพลับพลาฯ นี้เป็นอย่างดีเสมอมา
ส่วนการเดินทางนั้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ วิธีเเรกเดินทางโดยรถส่วนตัว สามารถปักหมุดไปที่ โรงเรียนบ้านห้วยไม้หก หรือ ชื่อที่พักทั้งสองเเห่งได้เลย วิธีนี้ผู้เดินทางสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางได้อย่างเต็มอิ่ม อยากเเวะชมวิวตรงไหนก็สามารถทำได้ เพราะตลอดเส้นทางอมก๋อย-เเม่ตื่น มีจุดที่สามารถพักชมวิวได้อยู่เป็นช่วงๆ
วิธีที่สองเดินทางด้วยรถตู้โดยสารสาธารณะที่สามารถใช้เดินทางเข้ามายังพื้นที่ได้ มีเพียงสายเดียว คือ (เชียงใหม่ – ฮอด – อมก๋อย – แม่ตื่น) โดยขึ้นรถตู้ที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ รถตู้มีวันละ 1 รอบเท่านั้น คือออกเวลา 05.00 น. ถึงแม่ตื่น ประมาณ 10.30 น. (สามารถเเจ้งพี่คนขับได้เลยว่าจะลงที่ไหน) ส่วนรถตู้ขากลับมีเพียงวันละ 1 รอบ คือ ออกจากเเม่ตื่น เวลา 05.00 น. (สามารถโทรนัดรับตามจุดที่จะขึ้นรถได้)

. . .
ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับการเดินทาง
ทุกการเดินทางนั้นล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…
ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่ที่เราไปเยือน หรือเเม้กระทั่งภายในจิตใจเราเอง…
ภาพ : เกศรินทร์ เจริญรักษ์ / กรณ์ บุตรสีทา
ผู้เขียน
ถ่ายภาพเพื่อบันทึกเรื่องราว และบางคราวก็เอาภาพมาเล่าเรื่อง มีความสุขกับการดริปกาแฟ และชื่นชมแคตตัส



