เสียงสะท้อนจากพื้นที่ถึงการเปลี่ยนที่ยังไม่ผ่านพลังงานไทย

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ถึงการเปลี่ยนที่ยังไม่ผ่านพลังงานไทย

ในเวทีอนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย มีหัวข้อหนึ่งระบุถึงประเด็น จาก Net Zero 2050 สู่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ : เสียงสะท้อนจากพื้นที่ถึงการเปลี่ยนที่ยังไม่ผ่านพลังงานไทย มีทั้งนักวิชาการ เครือข่ายภาคประชาชน ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบร่วมให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็น ไว้อย่างน่าสนใจ

เวทีเริ่มต้นด้วยผู้ดำเนินรายการ คุณกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าบูรพาว่า โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เกิดขึ้นจากการประมูลของผู้ผลิตภาคเอกชนรายใหญ่หรือว่า IPP เดิมเป็นโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ประชนในพื้นที่ได้ยืนหยัดคัดค้านโครงการมาตลอด จนโครงการได้ชะงักไป 

จนในปี 2562 โครงการดังกล่าวกลับมาอีกครั้งพร้อมเปลี่ยนเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และเปลี่ยนชื่อเป็นบูรพา พาวเวอร์ ปัจจุบันโครงการได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างได้ มีกำหนดก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2568 และจะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2572 ตามแผน PDP 2018 ฉ.ปรับปรุงครั้งที่ 1

ประเด็นปัญหาเป็นเรื่องที่ตั้งของโครงการทับซ้อนกับพื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งอาหารของชุมชนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการเพาะปลูกและส่งออกมะม่วงสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ปีละพันล้านบาท หากโครงการเกิดขึ้นปัญหาที่ตามมาอย่างแน่นอน คือ จะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำในพื้นที่

ในเวที นันทวัน หาญดี เครือข่ายติดตามผลกระทบจากโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน-บูรพา ได้เล่าถึงที่มาของการเดินเท้าจากเขาหินซ้อนสู่ทำเนียบรัฐบาลว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการต่อสู้ดำเนินมาต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง 18 ปี (พ.ศ. 2550 – 2568) 

เธอเล่าว่าในปี 2550 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)  ได้คัดเลือกโครงการ IPP รวมถึง NPS 540 MW (ถ่านหิน) มีที่ตั้งในตำบลเขาหินซ้อน ที่ผ่านมาในช่วงสองปีแรก (พ.ศ. 2550 – 2552) ชุมชนได้รวมตัวและได้ทำหนังสือกว่า 100 ฉบับ เพื่อคัดค้านโครงการดังกล่าว โดยได้ชี้แจงข้อห่วงกังวลและประเด็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และเนื่องด้วยโครงการเข้าข่ายกิจกรรมที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จึงต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เพิ่มเติม

เมื่อโครงการจะต้องศึกษาและจัดทำ EHIA ครั้งใหม่ ทางชุมชนจึงขอยื่นใช้สิทธิ์ไปที่สำนักคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เพื่อขอสนับสนุนฝ่ายวิชาการเข้ามาช่วยชุมชนศึกษาและประเมินผลกระทบทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการประเมินศักยภาพพื้นที่ ทำให้กระบวนการศึกษาและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของทั้งตัวโครงการ และของชุมชนได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกัน

นันทวัน หาญดี

ในช่วงที่ชุมชนทำการการศึกษาพบว่า บริเวณพื้นที่เขตอุตสาหกรรมดังกล่าว มีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอยู่แล้ว 2 แห่ง มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 47.5 เมกะวัตต์ และยังพบว่าโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง ที่มีอยู่เดิมได้สร้างมลพิษและส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนมะม่วงโดยรอบพื้นที่โครงการ เช่น ปัญหาเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปัญหาเรื่องผลผลิตของชาวสวนมะม่วงที่ไม่ออกผลเหมือนในอดีต เป็นต้น จนเมื่อจัดทำข้อมูลเสร็จสิ้นและนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ทำให้ในปี 2554 รายงาน EHIA ของโครงการไม่ผ่าน

หลังจากปี 2554 ตัวโครงการปรับปรุงและแก้ไขรายงาน EHIA อีกถึง 4 ครั้ง และได้นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อพิจารณา ซึ่งไม่ผ่านความเห็นชอบทุกครั้ง ทำให้โครงการได้ยื่นขอเปลี่ยนจาก ‘เชื้อเพลิงจากถ่านหิน’ เป็น ‘ก๊าซธรรมชาติ’ และได้ดำเนินการศึกษาและจัดทำรายงาน EHIA อีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ทางชุมชนได้ติดตามโครงการอย่างต่อเนื่อง และได้ให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการผู้ชำนาญการ แต่กลับพบความผิดปกติในกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ที่อาจเอื้ออำนวยให้กับตัวโครงการ ขณะที่ข้อห่วงกังวล และประเด็นปัญหาผลกระทบจากฝ่ายประชาชนกลับถูกเพิกเฉย ทำให้โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ผ่านการพิจารณารายงาน

ต่อมาในช่วงต้นปี 2568 โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการไปที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และชุมชนได้ยื่นหนังสือเพื่อคัดค้านโครงการพร้อมแจกแจงเหตุผลไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) รวมถึงการติดตาม กระบวนการการอนุญาตของ กกพ. หลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล

นันทวัน อธิบายต่อว่า ชุมชนต้องการให้สำนักงาน กกพ. ลงพื้นที่เพื่อให้เห็นถึงสถานการณ์และปัญหาในพื้นที่ เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ จนเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568 สำนักงาน กกพ. ได้นัดหมายชุมชนเพื่อลงพื้นที่รับฟังข้อห่วงกังวล แต่ขณะเดียวกัน กกพ. ได้นำเรื่องการพิจารณาใบอนุญาตประกอบกิจการเข้าสู่วาระและพิจารณาให้ความเห็นชอบผ่านใบอนุญาตประกอบกิจการตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“นี่คือกระบวนการที่ไม่ชอบธรรมและไม่เป็นธรรม ประเด็นเรื่องโครงการพลังงานขนาดใหญ่แบบนี้ มันไม่ใช่แค่พวกเราผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ แต่เกี่ยวพันกับคนไทยทั้งประเทศ ที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์นี่ด้วย” 

“เราคิดว่านี่คือความไม่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นการเดินเท้าอย่างสันติวิธีของเรา ตั้งแต่วันที่ 1 – 7 จากเขาหินซ้อนจนถึงทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือและข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ถึงเรื่องกระบวนการที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม ในการที่ กกพ. ออกใบอนุญาต และเราขอเสนอให้รัฐบาลยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เพราะไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้เห็นว่าโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์มีความจำเป็นอีกแล้ว” นันทวัน กล่าว 

ลำดับถัดมา ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ ทีมวิจัยผลกระทบทางสุขภาพชุมชนจากโครงการโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน ได้วิพากษ์ถึง EIA โครงการว่าเป็นสิ่งล้าสมัย เภสัชกรหญิงกล่าวว่า พื้นที่ตั้งของโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ว่า เดิมทีมีโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กอยู่แล้ว 2 แห่งและตั้งห่างกันไม่กี่กิโลเมตร โดยมีโรงไฟฟ้าพลังก๊าซหนึ่งแห่งขนาด 500 เมกะวัตต์ ที่ชุมชนร่วมกันคัดค้านแต่ไม่สำเร็จ และตอนนี้มีโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ที่กำลังจะตั้งขึ้นและห่างจากโรงไฟฟ้าชีวมวลไม่กี่ร้อยเมตร เพราะฉะนั้น พื้นที่ดังกล่าวจะมีโรงไฟฟ้า ทั้งหมด 3 แห่ง ในขณะที่โรงไฟฟ้าชีวมวลที่ตั้งอยู่ก่อน ดำเนินกิจการมาเป็นเวลาอย่างน้อย 10 – 20 ปี และก่อผลกระทบต่อชาวบ้านและชุมชนโดยรอบมาอย่างยาวนาน โดยปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควร อาจทุเลาลงบ้างแต่ปัญหายังไม่หมดไป

โดยเมื่อย้อนไปตอนที่ต่อสู้กับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน ในเวทีการพิจารณา EHIA ของ คชก. คนในพื้นที่ได้ขอเข้าไปให้ข้อมูลในการประชุมการพิจารณาของ คชก. เสมอ แต่ในระยะหลังกลับถูกหนึ่งใน คชก. ขู่ว่า ถ้าประชาชนให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง หรือเป็นข้อมูลเท็จ จะดำเนินการฟ้อง 

“พวกเราไปเพื่อหวังพึ่ง คชก. หวังว่า คชก. จะใช้ดุลยพินิจที่เป็นธรรมในการพิจารณาโครงการ เราไปช่วย คชก. เพิ่มมุมมองว่ามีอะไรบ้างที่ คชก. อาจนึกไม่ถึงหรือมองไม่เห็น เพื่อให้การพิจารณาของ คชก. รอบคอบ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเราถูกขู่ฟ้อง” 

ซึ่งในการพิจารณาในครั้งนั้น โรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อนไม่ผ่านการพิจารณา แต่ได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนเป็นก๊าซธรรมชาติแทน

ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ

นอกจากนี้ ภญ.ศิริพร ได้ให้ข้อมูลและข้อสังเกตไว้ 9 ประเด็น ประกอบด้วย

(1) โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโครงการที่อยู่ในแผน PDP 2018 ฉ.ปรับปรุงครั้งที่ 1 ซึ่งมองว่า ล้าสมัยไปแล้ว

(2) น้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตเป็นการรับน้ำประปามาจากบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด ในอัตรา 1,200 ลบ.ม./วัน ส่วนใหญ่จะใช้ในกระบวนการหล่อเย็นของโรงไฟฟ้า

(3) บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อขายน้ำให้กับโครงการโรงไฟฟ้า บูรพาพาวเวอร์โครงการเดียว

(4) แหล่งน้ำดิบของ บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด คือน้ำในแควระบมที่เดียว ซึ่งปัจจุบัน ปริมาณน้ำในแควระบมไม่เพียงพอต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำในพื้นที่

(5) บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด ได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้สามารถสูบ น้ำได้ 4 เดือน ในช่วงหน้าน้ำ เดือน ก.ค. – ต.ค. ไม่เกินวันละ 1.5 แสน ลบ.ม. หรือไม่เกินปีละ 18 ล้าน ลบ.ม. ประเด็นคือ ในการพิจารณาของกรมชลประทานเป็นการพิจารณาหน่วยงานรัฐ ซึ่งพื้นที่แควระบมไม่มีคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำหรือที่เรียกว่า JMC ซึ่งในหลักการของ JMC จะต้องให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมในการบริหารจัดการ

(6) น้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำจากหอหล่อเย็น โดยมีการตรวจสอบคุณภาพก่อนปล่อย และน้ำทิ้งทั้งหมดจะไม่ปล่อยสู่ภายนอกแต่นำกลับมาใช้ในฤดูแล้งเพื่อรดน้ำต้นไม้ในสวนอุตสาหกรรม และจะหมุนเวียนลงแหล่งกักเก็บน้ำดิบของ บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด เพื่อวนกลับมาใช้ผลิตน้ำประปาในช่วงฤดูฝน ซึ่งสวนอุตสาหกรรมมีที่ตั้งอยู่บนที่สูง และชุมชนอยู่ที่ต่ำ โดยการจัดการน้ำของโรงไฟฟ้าเดิมที่มีลักษณะคล้ายกัน ที่ผ่านมาน้ำทิ้งเหล่านั้นได้ไหลลงสู่พื้นที่ของชุมชน ทำให้แหล่งน้ำในชุมชนเน่าเสีย ไม่สามารถใช้น้ำบ่อตื้นได้ทั้งภาคครัวเรือนและภาคเกษตรกรรม ทำให้ชุมชนต้องซื้อน้ำในการบริโภค อุปโภค แม้มีการเข้ามาช่วยเหลือแต่ยังไม่ทั่วถึง

(7) ในการศึกษาทางเลือกเชื้อเพลิงของโครงการ การเปรียบเทียบทางเลือกเชื้อเพลิงระหว่างถ่านหินกับก๊าซธรรมชาตินั้น ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน เนื่องด้วยถ่านหินได้ถูกการพิจารณาให้ไม่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ ควรเปรียบเทียบทางเลือกกับเชื้อเพลิงอื่นๆ เช่น พลังงานหมุนเวียนที่มีต้นทุนต่ำ มีความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า

(8) ใน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ อ้างเหตุผลว่า หากโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดประโยชน์ระดับประเทศ สามารถแบ่งการลงทุนของภาครัฐในระบบการผลิตไฟฟ้า ทำให้ประเทศมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพด้านไฟฟ้าของประเทศ แต่ไฟฟ้าที่มีอยู่มีกำลังการผลิตที่มากกว่าความต้องการของคนไทย และมีความมั่นคงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่โครงการให้เหตุผลว่าสามารถแบ่งเบาภาระของภาครัฐได้นั้นเป็นเรื่องจริง เนื่องจากมองว่าภาครัฐไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะภาระทั้งหมดจะตกมาเป็นของประชาชน ถ้าหากโครงการฯ ได้ดำเนินการจนสำเร็จ โครงการจะได้รับการคุ้มครองจากสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าของภาครัฐ โดยภาครัฐจะเป็นฝ่ายจ่ายเงินเพื่อซื้อไฟฟ้า ซึ่งตัวโครงการไม่มีความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ลงทุนในการผลิตไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนภาระจะตกมาเป็นของประชาชนในรูปแบบของค่าไฟ 

(9) EIA ของโครงการไม่ได้ให้ความสำคัญต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มีเพียงวาทะกรรมที่ระบุใน EIA ว่า “การใช้ก๊าซธรรมชาติจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการใช้ถ่านหิน” โดยไม่มีการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะเกิดขึ้นตลอดอายุของโครงการ และยังขาดการวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลกระทบของโครงการต่อวิกฤตโลกร้อนและแผน NDC 3.0 ในปัจจุบัน

โดย ภญ.ศิริพร ได้ขยายความถึงข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไว้อีก 4 ประเด็น ประกอบด้วย

(1) โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าพลังงานหมุนเวียนหลายเท่า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม  โดยพลังงานก๊าซธรรมชาติปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับ 490 กรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ส่วนพลังงานหมุนเวียนมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับ 41 กรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e)

(2) ในการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว LNG จะต้องนำเข้าวัตถุดิบ เนื่องจากปัจจุบัน LNG น้อยลง และในกระบวนการผลิต LNG ตั้งแต่ขุด แปรรูป และขนส่ง ล้วนแต่ปล่อยก๊าซมีเทนออกมา ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซที่ก่อให้เกิดมลภาวะโลกร้อน และก๊าซมีเทนยังทำให้เกิดภาวะโลกร้อนรุนแรงกว่าก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ถึง 84 เท่า ดังนั้น ในการผลิตก๊าซ LNG จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าถ่านหินถึง 33 เปอร์เซ็นต์

(3) ผลกระทบด้านการปล่อยมลพิษและ PM 2.5 ใน EIA ระบุไว้ว่า “จะมีการควบคุมอัตราการ ปล่อยก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ไม่เกิน 58.80 ส่วนในล้านส่วน” โดยการคำนวณของโครงการ Climate Connectors การควบคุมอัตราการปล่อยก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ไม่เกิน 58.80 ส่วนในล้านส่วน สามารถปล่อยก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ได้สูงสุดถึง 11.93 ตันต่อวัน เทียบเท่ากับรถยนต์ 2 ล้านคันที่มีการปล่อยก๊าซตัวนี้ออกมา ซึ่งก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ถือได้ว่าเป็นก๊าซที่เป็นจุดเริ่มต้นของฝุ่น PM 2.5 โดยใน EIA ไม่มีการพูดถึงก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ว่าจะก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 และยังไม่มีการวิเคราะห์ว่าก๊าซฯ จะสามารถก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ได้ในปริมาณเท่าไร อย่างไร และไม่มีมาตรการป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากฝุ่น PM 2.5

และ (4) ทรัพยากรน้ำ โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ใช้น้ำในแควระบมคิดเป็น 24 เปอร์เซ็นต์ ของสิทธิการใช้น้ำของแควระบมทั้งปี ในขณะที่แควระบมไม่มีคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ JMC จึงทำให้เกิดเป็นคำถามว่าการบริหารจัดการน้ำในแควระบมจะเป็นอย่างไร

ครรชิต เข็มเฉลิม

การใช้น้ำเกินศักยภาพและวิกฤตแย่งชิงน้ำในลุมน้ำคลองท่าลาด เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ถูกยกมาพูดในเวที อธิบายโดย ครรชิต เข็มเฉลิม สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน เขากล่าวว่า เรื่องน้ำเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแม้โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์จะตั้งอยู่ที่อำเภอพนมสารคาม แต่คนใช้น้ำมีมากกว่าหนึ่งพื้นที่ และเกี่ยวข้องกับทั้งจังหวัดฉะเชิงเทรา 

ในพื้นที่ต้นน้ำบางประกง มีอ่างเก็บน้ำสำคัญอยู่ 2 อ่าง คือ อ่างระบม กับอ่างสียัด เป็นต้นทุนน้ำที่มีอยู่ในพื้นที่ แต่ตอนนี้ใช้น้ำได้แค่ที่เดียวคืออ่างระบม เพราะอ่างสียัดไม่มีน้ำ ซึ่งอ่างเก็บน้ำคลองระบม มีศักยภาพในการเก็บกักน้ำเพียง 59 ล้าน ลบ.ม.

“เวลาโครงการทำข้อมูลขอใช้น้ำโครงการไม่มีการพูดถึงอ่างเก็บน้ำ แต่เขาเขียนไว้ว่า ‘ขอใช้น้ำท่า’ หรือ ‘น้ำช่วงหน้าฝน’ เพราะน้ำจะเยอะ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการขอใช้น้ำ หากอ้างขอใช้น้ำในอ่างเก็บน้ำมันไม่ได้ เพราะน้ำในอ่างมีไม่เพียงพอ”

ครรชิต ขยายความต่อว่า หากมีโครงการเกิดขึ้นในพื้นที่และทุกโครงการทำเรื่องขอใช้น้ำ แต่น้ำมีอยู่จำกัด ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร เขาได้ยกตัวอย่างถึงคลองท่าลาด ที่บางช่วงน้ำไม่พอใช้แม้อยู่ในฤดูฝน 

“เราเคยบอกว่าน้ำต้องเอาไว้ใช้รักษาระบบนิเวศ จากปัญหาการรุกของน้ำเค็มที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติเห็นว่าน้ำเค็มได้รุกคืบสูงขึ้นและอยู่นานขึ้น เพราะเราไม่มีระบบน้ำที่ใช้ในการดันน้ำเค็ม ทำให้เห็นว่าหากเรายังขาดแคลนน้ำ และทำให้ปัญหานี้รุนแรงมากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำกับพื้นที่ต้นน้ำ คนท้ายน้ำก็เดือดร้อนด้วยเช่นกัน อย่าคิดว่าจะเป็นปัญหาเฉพาะคนต้นน้ำเท่านั้น”

ตัวแทนจากสมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืนให้ความเห็นว่าประเด็นนี้เป็นจุดอ่อนของหน่วยงานรัฐในการทำประชาพิจารณ์หรือประชาคม ซึ่งมักกำหนดขอบเขตเฉพาะพื้นที่โครงการ ในระยะ 3 – 10 กิโลเมตร แต่ไม่เคยประชาพิจารณ์ไกลกว่านั้น เพราะหากถามมากขึ้น ปัญหาย่อมมากตามเป็นธรรมดา คนที่เกี่ยวข้องและไม่เห็นด้วยกับโครงการอาจมีมากขึ้น เลยออกแบบระเบียบมาเพื่อสอบถามความคิดเห็นในบริเวณจำกัดเฉพาะพื้นที่โครงการ โดยเฉพาะเรื่องน้ำที่เป็นปัญหา และ เป็นความรับผิดชอบของภาครัฐที่ต้องมีมาตรการช่วยเหลือ แต่กลับไม่มี และชี้ว่า “ต้องผลักดันให้เขายอมรับในส่วนนี้ให้ได้”

“คลองท่าลาดเมื่อช่วงก่อนถึงวันลอยกระทง ประมาณ 3 – 4 วัน ที่เขาบอกวันลอยกระทงน้ำนองเต็มตลิ่ง แต่คลองท่าลาดกลับไม่มีน้ำ มองเห็นแต่ตลิ่งกว้าง นี่คือคลองท่าลาดที่ดูแลคนทั้งลุ่ม และตอนนี้เหนือคลองท่าลาดขึ้นไปยังมีโครงการโรงไฟฟ้าที่จะมาขอแบ่งน้ำไปใช้อีกแล้ว ทั้งที่ของเดิมมันมีไม่เพียงพออยู่แล้ว”

ครรชิต กล่าวทิ้งท้ายว่า หากต้องดำเนินการก่อสร้างสิ่งใด ต้องทำบนพื้นฐานของความยั่งยืน ทำตามศักยภาพของทรัพยากรที่มี หากเราใช้เกินมันก็จะขาด และในเวลาที่ขาด คนเดือดร้อนคงไม่พ้นประชาชน

ในฝั่งของผู้ได้รับผลกระทบ วิสาขา ศรีเกษม ขึ้นมาเล่าว่าเธอได้รับกระทบจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงของโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ที่พาดผ่านที่ดิน ทำให้ถูกลิดรอนสิทธิ์ในที่ดินทำกินเป็นพื้นที่ขนาดกว้างข้างละ 3 เมตร ยาว 10 เมตร รวม 2 ด้าน เป็น 60 เมตร นอกจากนี้ยังมีที่ดินของประชาชนรายอื่นๆ ทอดยาวเป็นระยะทาง 14 กิโลเมตร รวมพื้นที่ทั้งหมดกว่า 500 ไร่ มีผู้เดือดร้อน 12 ราย และยังถูกกำหนดให้ปลูกไม้ผลที่มีความสูงไม่เกิน 3 เมตร อีกด้วย

เธอสะท้อนว่า ในความเป็นจริงคงไม่สามารถทำได้ เนื่องจากที่ดินเกษตรกรรมเพาะปลูกไม้หลายชนิด อาทิ ยูคาลิปตัส ปาล์ม ยางพารา และไม้ป่า มีผลผลิตเก็บเกี่ยวและสร้างรายได้ให้เกษตรกร แต่เมื่อถูกลิดรอนสิทธิ์ในที่ดินทำกิน จึงไม่รู้ว่าควรหาทางออกอย่างไร

วิสาขา ศรีเกษม

“เราเป็นเกษตรกร มีที่ดินนิดหน่อย เป็นสมบัติของปู่ย่าตายายให้เรามา และต่อไปก็ให้ลูกหลานมาสืบทอดเอาไว้ทำกิน”

“อยากฝากผู้มีอำนาจให้มาลงพื้นที่ ดูว่าเราได้รับความเสียหายและเดือดร้อนจริง ค่าชดเชยจากโครงการที่มาประเมิน บอกว่าที่ดินของเราเป็นที่เสื่อมโทรม รกร้าง ว่างเปล่า ให้เราตารางวาละ 150 บาท เราจะทำอย่างไร เราอยากเรียกร้องสิทธิ์ของเรา” 

“เขาบอกว่าเขาไม่ได้มาเอาที่ดินเราทั้งหมด มันยังเป็นของเรา แต่กลับไม่ให้เราปลูกในสิ่งที่เราเคยปลูก เราอยากเรียกร้องและให้เขายกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้า เพราะว่าเราเดือดร้อน เหมือนเราถูกบังคับ เราไม่สบายใจ เราทุกข์ เราพูดไม่เก่ง ความเดือดร้อนของเรามันเอ่ยได้แค่นี้ เราอยากขอความเห็นใจจากผู้มีอำนาจพิจารณาว่าควรสร้างหรือไม่”

ประเด็นของโครงการยังมีเรื่อง ความไม่ชอบธรรมกระบวนการออกใบอนุญาต กัญจน์ ทัตติยกุล กลุ่มฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์ ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ผ่านเนื้อหาทางกฎหมาย โดยยกพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มากล่าวถึงในมาตราต่างๆ ประกอบด้วย

มาตรา 8 ระบุว่า รัฐพึงมีแนวนโยบายพื้นฐานว่าด้วยกิจการพลังงาน ดังต่อไปที่ (1) จัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการ มีคุณภาพ มีความมัน่คง และมีระดับราคาทีเ่หมาะสม และเป็นธรรม โดยเน้นการใช้ประโยชน์และพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานที่มีอยู่ภายในประเทศ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้าจากต่างประเทศ (2) ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า รวมถึงส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทีมี่ประสิทธิภาพและระบบกระจายศูนย์ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อลดการลงทุนในการใช้พลังงาน ลดต้นทุนทางด้านเชื้อเพลิงในกิจกรรมการผลิต และลดผลกระทบด้านสุขภาพและผลกระทบข้างเคียงอื่นๆ จากการผลิตและใช้พลังงาน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ (3) ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า รวมถึงส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทีมี่ประสิทธิภาพและระบบกระจายศูนย์ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อลดการลงทุนในการใช้พลังงาน ลด ต้นทุนทางด้านเชื้อเพลิงในกิจกรรมการผลิต และลดผลกระทบด้านสุขภาพและผลกระทบข้างเคียงอื่นๆ จากการผลิตและใช้พลังงาน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ

ต่อมาได้กล่าวถึงมาตรา 17 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (16) ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ พลังงานหมุนเวียนและพลังงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการประกอบกิจการไฟฟ้าและความสมดุลของ ทรัพยากรธรรมชาติ

และมาตรา 47 การประกอบกิจการพลังงานไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ ต้องได้รับใบอนุญาตจาก คณะกรรมการในการออกใบอนุญาต ให้คณะกรรมการประกาศกำหนดประเภทและอายุใบอนุญาตให้สอดคล้องกับขนาดและลักษณะของกิจการพลังงานประเภทต่างๆ โดยให้คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน ความคุ้มค่าทาง เศรษฐกิจ สังคม และการลงทุน รวมถึงลักษณะการแข่งขันของกิจการแต่ละประเภท และอาจกำหนดเงื่อนไข เป็นการเฉพาะรายด้วยก็ได้

กัญจน์ ชี้ว่า หากดูตามกฎหมายจะเห็นว่าประเทศไทยมีทางออกเรื่องพลังงานในทิศทางที่ดี หากหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว แต่ที่ผ่านมาประชาชนได้ส่งคำคัดค้าน อ้างเหตุผลตามพระราชบัญญัติไปแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนกลับมาจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเลย

“เราเห็นว่าการออกใบอนุญาตในครั้งนี้ มีกระบวนการที่ดูเร่งรัดจนไม่เป็นธรรม และกระบวนการที่เร่งรัดยังนำไปสู่การออกใบอนุญาตที่ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550” 

“ผมคิดว่า พวกเราทุกคนต้องส่งเสียงคัดค้าน เพราะปัญหาโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ไม่ใช่ปัญหาของคนฉะเชิงเทราเพียงอย่างเดียว แต่มันคือปัญหาภาระค่าไฟของพี่น้องประชาชน และยังมีเรื่องวิกฤตโลกร้อนที่เราทุกคนต้องแบกรับเพิ่ม หากโรงไฟฟ้าฟอสซิลแห่งนี้เกิดขึ้น”

“ลำพังแค่เสียงจากฉะเชิงเทรา เราไม่รู้ว่าสามารถหยุดบูรพาพาวเวอร์ได้หรือไม่ แต่ถ้าได้ยินเสียงจากทุกคนในประเทศไทยด้วย เชื่อว่าเรามีโอกาสที่จะหยุดโรงไฟฟ้าบูรพา และเดินหน้าเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยได้”

เรียบเรียงจากเวทีอนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดย สุจิตรา ขะจัดโรคา เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร

ภาพเปิดเรื่อง JustPow