คนเฝ้าช้าง (ตอน 7)

คนเฝ้าช้าง (ตอน 7)

ทุกชั่ววันคืน งานผลักดันช้างป่าออกมาหากินรอบนอกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ต้องการ ‘พลังร่วม’ จากคนหลากหลายฝ่าย

ภาพนั้นสะท้อนชัดจากสถานะคนทำงานที่เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่ ‘เจ้าหน้าที่ชุดเคลื่อนที่เร็วเฝ้าระวังผลักดันช้างป่าและสัตว์ป่าที่ออกนอกพื้นที่อนุรักษ์’ หรือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าของเขตรักษารักษาพันธุ์สัตว์ป่า ที่ปรับบทบาทและเปลี่ยนสถานที่ทำงานจากใจกลางไพรมาสู่ไร่นา

มีลูกจ้างชั่วคราว บุคคลภายนอกช่วยปฏิบัติงานตำแหน่ง ‘เฝ้าระวังผลักดันช้างป่า’ เข้ามาเป็นกำลังเสริม

ภารกิจนี้ยังรวมถึง เครือข่ายเฝ้าระวังสัตว์ป่าของประชาชนในพื้นที่ มีงบประมาณสนับสนุนจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 

มีผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยเดินตามเสียงร้องเรียกของลูกบ้าน

รวมถึงนักอนุรักษ์ในท้องถิ่น

ในบางวันเรายังเห็น ‘เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการ’ ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ออกมาทำงานร่วมกับชุดเคลื่อนที่เร็วฯ ตระเวนเตร็ดเตร่ใต้แสงดาวไปช่วยเหลือชุมชนผลักดันช้างป่าด้วยอีกแรง

“วันนี้ เอาโดรนมาบิน ช่วยหาว่าช้างอยู่ตรงไหน” พี่จิ้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการของห้วยขาแข้งอธิบายภารกิจ 

ในคืนหนึ่งเขาพาทีมวิชาการออกมาทำงานในแนวหน้าที่หมู่บ้านไผ่งาม ตำบลระบำ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี อีกชุมชนที่มีอาณาเขตติดกับป่าห้วยขาแข้ง มีช้างป่าแวะเวียนมาหากินรอบชุมชนประมาณ 4-5 ตัว เป็นประจำ

หากเทียบกับชุมชนอื่นๆ จำนวนอาจไม่สูงนัก แต่ที่นี่พบปัญหาช้างหากินกระจัดกระจายไปหลายจุด คนผลักดันต้องเทียวไปเทียวมาหลายทิศในหนึ่งคืน บางวันโชคไม่ดีช้างโผล่ออกมาสองสามจุดพร้อมกัน ก็ต้องแบ่งกำลังไปดูแลในทุกพิกัด

สถานการณ์เช่นนั้นหากเป็นยามเย็นที่แสงยังส่องก็พอทำงานกันได้ แต่หากเจอหลังอาทิตย์ตกดินไปแล้ว โจทย์ที่ต้องแก้ก็เพิ่มมากขึ้นพัลวัน

งานผลักดันช้างป่าเป็นงานอันตราย และมันอันตรายมากขึ้นเมื่อต้องทำงานในตอนกลางคืน มีความมืดเป็นดั่งกำแพงกั้นการรับรู้

ใช้ใจนำทางทำงานเพียงอย่างเดียวมันไม่พอ

คืนนั้น ‘โดรนตรวจจับความร้อน’ ถูกหยิบมาใช้เป็น ‘ตัวช่วย’ ติดตามช้างที่ผละเข้าไปหลบอยู่ในป่าชุมชน 

ใช้กล้องอินฟาเรดเป็นดวงตาที่สาม บินลาดตระเวนสอดส่องเหนือเรือนยอดไม้ ควานหาว่าช้างหลบอยู่ตรงไหน

ตรวจดูว่าอยู่ใกล้หรือไกลจากพื้นที่เกษตรกรรม หรืออยู่ห่างจากระยะปลอดภัยของบ้านเรือนแล้วหรือยัง เมื่อตรวจจับได้ก็ต้องประเมินสถานการณ์ จะเอาอย่างไรกันต่อ

“พอช้างเข้าป่าชุมชนไปแล้ว เราตามไม่ได้ เพราะในป่ามันรก มีต้นไม้บัง และเป็นเวลากลางคืน เรามองไม่เห็นอะไร ต้องใช้โดรนบินตรวจแทน เพื่อลดความเสี่ยงให้กับชุดผลักดัน” 

“ถ้าช้างอยู่ไกล เราพอวางใจได้ แต่ถ้าอยู่ใกล้ หรือมีแนวโน้มหันกลับมาทางชุมชน ก็ต้องรีบประสานชุดเคลื่อนที่เร็วเฝ้าระวังผลักดันช้างป่ามายังพื้นที่ให้ไวที่สุด” เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการให้รายละเอียด

มีบ่อยครั้งที่ชุดผลักดันเห็นว่าช้างหันหน้ากลับเข้าป่าได้แล้ว แต่จริงๆ พี่ใหญ่เพียงแอบหลบอยู่ในมุมมืด รอคอยโอกาสออกมาหากินอีกรอบเมื่อชุดผลักดันถอยหลังออกห่างจากจุดเกิดเหตุ 

สุดท้ายก็ต้องวิ่งวนกลับมาเริ่มต้นกันใหม่

เป็นโชคดีในคืนนั้นโดรนตรวจพบว่าช้างกำลังเดินกลับไปทางป่าห้วยขาแข้งค่อนข้างแน่นอน ภารกิจงานติดตามจึงไม่ยุ่งยาก และจบลงโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก

แต่กว่าจะได้ข้อสรุป ก็เลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว

ในรุ่งเช้าวันใหม่ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านไผ่งามที่ร่วมเฝ้ากับทีมวิชาการเล่าว่า “เมื่อคืนผมกลับบ้านไปนอนตอนเกือบตีสอง พอเจ้าหน้าที่บอกว่าช้างหันหน้าเข้าป่าแล้วก็โล่งใจ” ก่อนพูดต่ออย่างเขินอายนิดๆ ว่า “ผมกลับบ้านก่อนเจ้าหน้าที่”

นอกเหนือจาก ‘เผือกร้อน’ ช่วยผลักดันช้างป่าเป็นบางคราว ทีมวิชาการของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายังมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลเหตุการณ์ช้างป่าออกมาจากหากินในพื้นที่ชุมชน และจัดทำรายงานในเชิงสถิติ

คอยจดตัวเลขบันทึกจำนวนเหตุการณ์ที่เกิด ลงรายละเอียดจำนวนครั้งที่มีช้างออกมา นับจำนวนที่พบในหมู่บ้านแต่ละแห่ง และแต่ละวันเรือกสวนไร่นาประชาชนได้รับความเสียหายไปกี่ไร่ 

เก็บรวบรวมทั้งจากการรายงานของชุดเคลื่อนที่เร็วเฝ้าระวังผลักดันช้างป่าบ้าง ออกสำรวจด้วยตัวเองบ้าง รวมถึงบันทึกการแจ้งข้อมูลของประชาชนผ่านไลน์กลุ่ม ‘เครือข่ายเฝ้าระวังสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์’ ในพื้นที่ ที่มีอยู่ด้วยกัน 5 กลุ่ม 

พี่จิ้น ฝ่ายวิชาการ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

ในวงประชุมงานอนุรักษ์ระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พี่จิ้นพยายามชี้แจงและขอความร่วมมือให้ช่วยกันรายงานเหตุการณ์เจอช้างป่าในกลุ่มไลน์ที่แต่ละคนอยู่ เพราะการแจ้งข่าวสารของพี่น้องคือข้อมูลสำคัญ ลำพังเพียงเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือชุดเคลื่อนที่เร็วฯ คงไม่อาจติดตามหรือสำรวจได้ครบทุกเหตุการณ์

แต่ในวันที่ปัญหายังไม่เห็นหนทางสว่าง และประตูทางออกยังถูกลงกลอนล็อคแน่นหนา งานที่ดูเหมือนง่ายกลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นโดยพลัน

สิ่งที่พบเจอ มีทั้งคนที่ให้ความร่วมมือและไม่ให้ความร่วมมือ มีคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ 

ประเด็นเรื่องช้างป่าออกมาหากินในที่ดินทำกินของชุมชน ไม่ว่าต้นสายปลายเหตุมาจากไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเป็นคนทำงานในพื้นที่อนุรักษ์มักถูกเพ่งเล็งด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรอยู่เนืองนิจ ถูกตีตรากล่าวหาถึงการทำงาน “เป็นเพราะคุณดูแลไม่ดี ปัญหานี้จึงเกิดขึ้น” หรือบางนาทียังถูกตั้งคำถามว่า “มัวทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่แก้ไขปัญหาสักที”

และเมื่อถูกขอความร่วมมือ บางเสียงจึงสะท้อนกลับว่า “ไม่อยากแจ้ง แจ้งไปในไลน์กลุ่มแล้ว ก็ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มาช่วย” ทำให้บางเหตุการณ์ไม่ถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูล 

อันเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ‘เครือข่ายเฝ้าระวังสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์’ มีอยู่ด้วยกัน 5 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่กว่า 20 หมู่บ้าน แต่ชุดเคลื่อนที่เร็วเฝ้าระวังผลักดันช้างป่าและสัตว์ป่าที่ออกนอกพื้นที่อนุรักษ์มีทีมทำงานเพียงหลักหน่วย หากมีเหตุการณ์ช้างป่าออกมาหากินในพื้นที่ชุมชนหลายแห่งพร้อมกัน การทำงานให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และทุกเหตุการณ์จึงยังห่างไกลความเป็นจริงอีกอักโข

จากข้อมูลสถิติสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 – 2568 นับเฉพาะช้างป่า ตัวเลขชี้ชัดว่าเพิ่มขึ้นทุกปี 

จากปี 2561 ที่พบ 79 ครั้ง พอมาถึงปี 2565 มีเหตุการณ์มากกว่า 200 ครั้ง ปี 2566 เกือบแตะ 300 ครั้ง จนปีที่ผ่านมาทะลุเกิน 400 ครั้ง ส่วนในปีนี้หลังเก็บข้อมูลมาได้ครึ่งทาง เกิดเหตุการณ์ไปแล้ว 246 ครั้ง

และเมื่อมีเสียงสะท้อนว่า “ไม่อยากบอก” ตัวเลขที่อ้างอิงกันมา คงไม่อาจสะท้อนข้อเท็จจริงได้ทั้งหมด 

“อยากให้ช่วยกันรายงานนะครับ เพราะอย่างน้อยๆ ข้อมูลที่พี่ๆ น้องๆ รายงานมา จะถูกบันทึกสถิติส่งไปยังส่วนกลาง ถ้าเราไม่ช่วยกันรายงาน หน่วยงานส่วนกลางอาจเข้าใจผิดว่าปัญหาที่ห้วยขาแข้งมีน้อย ถ้าเขาเห็นว่าปัญหามีน้อย งบประมาณที่มาถึงพื้นที่ก็อาจน้อยไปด้วย” พี่จิ้นพยายามอธิบาย

เจ้าหน้าที่มีเหตุผลของเจ้าหน้าที่ ชุมชนมีเหตุผลของชุมชน ต่างฝั่งต่างมีเหตุและผลของตัวเอง

วันนี้มีภาพความร่วมมือเกิดขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง เป็นความร่วมมือจากหลากหลายฝ่าย หลากหลายหน่วยงาน มีชุมชนที่สนับสนุนเจ้าหน้าที่ มีเจ้าหน้าที่ที่สนับสนุนชุมชน 

แต่มันยังลึกซึ้งไม่มากพอ

หลากหลายความเห็นต่างที่มี ยังเป็นควันขมุกขมัวล่องลอยบดบังความร่วมมือ

เป็นอีกโจทย์ของ ‘คนเฝ้าช้าง’ ต้องพาทุกคนหันหน้าไปทางเดียวกัน

ตลอดปี พ.ศ. 2568 มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ให้การสนับสนุนเสบียงและอุปกรณ์ผลักดันช้างป่า แก่ชุดเฝ้าระวังผลักดันช้างป่า ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และชุดผลักดันที่จัดตั้งขึ้นของชุมชน เป็นประจำทุกเดือน ในกิจกรรมลาดตระเวนร่วมดูแลป้องกันทรัพยากรในป่าชุมชนและสนับสนุนเสบียงสำหรับเครือข่ายผลักดันสัตว์ป่า โดยใช้งบประมาณจากโครงการธรรมชาติปลอดภัย

ผู้เขียน

Website | + posts

ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม