ประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม กับ EIA (ไม่) เป็นธรรม

ประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม กับ EIA (ไม่) เป็นธรรม

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยขับเคลื่อน ‘การพัฒนา’ ผ่านโครงการขนาดใหญ่มากมาย ทั้งการสร้างเขื่อน การผันน้ำ สร้างท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม และคอนโด ทุกโครงการล้วนมีเอกสารชื่อคุ้นหูว่า รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment – EIA) ซึ่งควรเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องธรรมชาติและสิทธิของประชาชน แต่ในความเป็นจริง EIA กลับกลายเป็นเพียง ใบเบิกทางให้โครงการผ่านการอนุมัติ โดยไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจริงของคนในพื้นที่

เวทีเสวนา “ประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม กับ EIA (ไม่) เป็นธรรม” จัดโดยศูนย์ส่งเสริมความเสมอภาคและความเป็นธรรม วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต จึงเป็นการรวมเสียงจากภาครัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ มาร่วมกันตั้งคำถามว่า “EIA ยังเป็นเครื่องมือเพื่อสิ่งแวดล้อมอยู่หรือไม่ หรือเป็นเพียงเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้การพัฒนาเดินหน้า?”

คุณอมรศักดิ์ ปัญญาเจริญศรี นายกสมาคมประมงพื้นบ้านจังหวัดชลบุรี อธิบายภาพชายฝั่งศรีราชาในสายตาของเขาว่าเป็น ‘ทะเลที่ถอยร่น’ หาดถูกแทนด้วยแนวอุตสาหกรรม และท่าเรือ เรือประมงพื้นบ้านต้องเบียดกับเรือขนาดใหญ่ในทะเลที่เคยอุดมสมบูรณ์ 

เขาเล่าว่า ผลจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ ‘ทะเลรวน’ ตะกอนเลนเปลี่ยนทิศ เกิดการกัดเซาะรุนแรง สัตว์น้ำหลายชนิดลดลงอย่างน่าตกใจ 

“เราทำ EIA โดยมองอุตสาหกรรมเป็นตัวตั้ง ไม่ได้มองสิ่งแวดล้อมเป็นตัวตั้ง” เขากล่าว และบอกต่อว่า ปี 2558 ปลาทูหายไปจากประเทศไทย โดยปกติปลาทูจะเข้ามาวางไข่ตามฤดูกาลเริ่มต้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และค่อยขยับมาที่ภาคตะวันออกบริเวณอ่าวไทยเพื่อมาปล่อยไข่และเจริญเติบโต แต่เนื่องจากสภาพปัจจุบันเชื่อว่ามาจากการเปลี่ยนกระแสน้ำซึ่งเกิดจากสิ่งปลูกสร้างชายฝั่งมากมาย เช่น เขื่อนกันคลื่นและท่าเรือขนาดใหญ่ ส่งผลให้ไข่ปลาทูไม่ได้เจริญพันธุ์ต่อเพราะไม่มีแหล่งอาหาร 

คุณอมรศักดิ์ ยังบอกอีกว่า ผลกระทบเหล่านี้แทบไม่ปรากฏในรายงาน EIA ที่มักประเมินเพียงขอบเขตพื้นที่โครงการ โดยไม่เห็นความสัมพันธ์ของระบบนิเวศชายฝั่ง “EIA ต้องไม่ใช่แค่เอกสารให้โครงการผ่าน แต่ต้องเป็นมาตรฐานของชีวิตในทะเลจริง ๆ” เขาเรียกร้องให้รัฐมองทะเลเป็น ‘ธนาคารชีวิต’ ที่คนรุ่นนี้มีหน้าที่เติมทุน ไม่ใช่ถอนออกจนหมด

https://epigramnews.co/people/interview-with-amornsak-chonburi/

ในมุมของเจ้าหน้าที่รัฐ คุณขรินี สุวรรณทัต ผู้อำนวยการกลุ่มงานสิ่งแวดล้อมชุมชน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) มองว่า “EIA ของไทยไม่ขาดกฎหมาย แต่ขาดความเข้าใจและความเชื่อมโยงกับชีวิตจริง” 

เธอยกตัวอย่างเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอย่างภูเก็ตและชลบุรี ซึ่งมีโครงการคอนโดขนาดใหญ่ผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะผ่าน EIA อย่างถูกต้อง แต่หลังสร้างเสร็จกลับเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมมากมาย เช่น น้ำท่วมซ้ำซาก การขาดแคลนน้ำจืด และขยะล้นเมือง

“ชาวบ้านบางคนถูกเชิญไปตอบแบบสอบถาม แล้วได้ทิชชู่มาถุงหนึ่ง แลกกันเป็นการชดเชย” คำพูดนี้สะท้อนปัญหาสำคัญ การรับฟังความคิดเห็นที่กลายเป็นเพียง ‘พิธีกรรม’ มากกว่ากระบวนการมีส่วนร่วมจริง

ดังนั้นการทำ EIA ควรเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายเพื่อ ‘ออกแบบเมืองให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน’ มากกว่าการตรวจเอกสารเพื่ออนุมัติโครงการ เพราะกฎหมายอาจมีครบ แต่ถ้าไม่มีหัวใจแห่งความรับผิดชอบ มันก็ไม่ต่างจากกระดาษเปล่า

ทางด้าน คุณหาญณรงค์ เยาวเลิศ รองประธานมูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ อธิบายว่า หากชายฝั่งคือสมรภูมิของอุตสาหกรรม ป่าภาคเหนือก็คือสมรภูมิของโครงการผันน้ำและเขื่อน 

คุณหาญณรงค์ยกกรณี ‘โครงการผันน้ำยวม–ภูมิพล’ ลงทุนประมาณ 80,000 กว่าล้าน เป็นตัวอย่างของ EIA ที่ขาดความถูกต้องและความเข้าใจในพื้นที่อย่างยิ่ง รายงานระบุว่ามีผลกระทบเพียง 3 หลังคาเรือน แต่เมื่อภาคประชาชนลงสำรวจจริงกลับพบกว่า 30 หลัง และหลายหมู่บ้านไม่อยู่ในแผนที่รายงาน 

“ชาวบ้านบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอุโมงค์จะลอดใต้บ้านตัวเอง เพราะไม่มีใครมาอธิบายเป็นภาษาที่เขาเข้าใจ” คุณหาญณรงค์กล่าว และบอกต่อว่า อีกทั้งรายงานผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแบบประชุมออนไลน์

ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดทางเทคนิคแต่คือความไม่เท่าเทียม ขาดความโปร่งใส ชุมชนที่ได้รับผลกระทบไม่มีสิทธิ์ร่วมตัดสินใจตั้งแต่ต้น โครงการกลับถูกผลักดันโดยกลุ่มทุนและหน่วยงานรัฐในนามของ ‘ความมั่นคงน้ำและพลังงาน’ เขาตั้งคำถามว่า “นี่หรือคือประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม ถ้าคนในพื้นที่ไม่มีสิทธิ์พูด ไม่มีสิทธิ์รู้ และไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ?” สุดท้ายชาวบ้านและผู้ได้รับผลกระทบต้องไปพึ่งกระบวนการยุติธรรม

https://greennews.agency/?p=25742

คุณประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี ที่ปรึกษากลุ่มราษฎรรักษ์ป่าตำบลสะเอียบ จ.แพร่ ผู้ผ่านการต่อสู้คัดค้าน ‘เขื่อนแก่งเสือเต้น’ มายาวนานกว่า 30 ปี บอกว่า นับพันครัวเรือนในสี่หมู่บ้านต้องจมอยู่ใต้น้ำ ท่วมป่าสักทองป่าสักที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย อีกทั้ง EIA ระบุว่า พื้นที่น้ำท่วมอีก 40,000 – 60,000 ไร่ เป็นป่าเสื่อมโทรม ทำให้ชาวบ้านเริ่มไม่ไว้วางใจ ซึ่งการต่อสู้ที่สะท้อนให้เห็นว่าชาวบ้านไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนา แต่ปฏิเสธ ‘การพัฒนาที่ไม่ยุติธรรม’ 

“รัฐมักถามว่า ‘จะสร้างยังไงให้ชาวบ้านยอม’ แต่ไม่เคยถามว่า ‘จำเป็นต้องสร้างหรือไม่’” เขามองว่า EIA ในไทยเป็นเพียงพิธีกรรมของรัฐที่จัดขึ้นเพื่อให้โครงการเดินหน้า ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อหาทางออกร่วมกันจริง ๆ

แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักการใน อนุสัญญาอาร์ฮูส (Aarhus Convention) ซึ่งรับรอง สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม (UNECE, 1998) กรอบเดียวกับที่หลายประเทศใช้ปฏิรูประบบ EIA ให้โปร่งใสและมีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น สวีเดน เปิดเผยข้อมูลสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอนให้ประชาชนเข้าถึงได้ ชิลี มีกองทุนให้ชุมชนจ้างผู้เชี่ยวชาญอิสระมาตรวจสอบรายงาน EIA

ผศ.ดร.บูชิตา สังข์แก้ว วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต อธิบายว่า แนวคิด ‘ประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม’ (Environmental Democracy) เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 จากการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนทั่วโลก เพื่อให้สิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง (UNDP, 2013)

แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนสามเสาหลัก ประกอบด้วย สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล (Access to Information) สิทธิในการมีส่วนร่วม (Public Participation) และสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (Access to Justice)

เธอชี้ว่าระบบราชการไทยยังรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป ทำให้เสียงของชุมชนอ่อนแรง การสร้างประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อมจึงต้องเริ่มจาก “การเปลี่ยนวิธีคิดของรัฐ” ให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมไม่ใช่อุปสรรค แต่คือพลังของสังคมที่ยั่งยืน (OECD, 2021)

เมื่อ EIA ต้องกลับมาอยู่ข้างประชาชน

เรื่องราวจากทะเล ป่า และแม่น้ำ สะท้อนปัญหาเดียวกัน ระบบ EIA ของไทยยังไม่ยืนอยู่ข้างประชาชน EIA ที่แท้จริงควรเป็น กระบวนการประชาธิปไตย ที่เปิดให้ชุมชนร่วมตัดสินใจ ตั้งแต่การตั้งโจทย์ ‘จะพัฒนาอย่างไร’ ไปจนถึง ‘จะเยียวยาอย่างไร’ ไม่ใช่เพียงเอกสารหนา ๆ ที่เสร็จแล้วเก็บเข้าตู้

ตัวอย่างจากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าการปฏิรูป EIA ให้เป็นธรรมสามารถทำได้จริง เช่น แคนาดา กำหนดให้ต้องมีการประเมินผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมคู่กับสิ่งแวดล้อม หรือฟิลิปปินส์ ใช้ระบบ ‘Community-Based Monitoring’ ให้ชุมชนร่วมตรวจสอบผลกระทบหลังโครงการเริ่มดำเนินการ

สำหรับประเทศไทย การเดินไปสู่ประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อมอาจเริ่มจากเรื่องง่ายที่สุด การรับฟังด้วยใจจริง เพราะสุดท้าย ‘สิ่งแวดล้อม’ ไม่ได้หมายถึงป่าไม้หรือทะเลเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงสิทธิในการมีชีวิตที่ปลอดภัย และยั่งยืน

อ้างอิง