ป่าไม้ไทยอยู่ตรงไหนในปี 2025? เสียงสะท้อนจาก รศ.ดร.วีระภาส คุณรัตนสิริ

ป่าไม้ไทยอยู่ตรงไหนในปี 2025? เสียงสะท้อนจาก รศ.ดร.วีระภาส คุณรัตนสิริ

รศ.ดร.วีระภาส คุณรัตนสิริ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย และอาจารย์ประจำคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงเป็นหัวหน้าโครงการจัดทำข้อมูลสภาพพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ทำงานด้านนี้มานานถึง 12 ปี ได้มาบอกเล่าถึงสถานการณ์ป่าไม้ไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องในเวทีเสวนาป่าไม้ไทยอยู่ตรงไหนในปี 2025? โดยย้ำว่าป่าไม้ของประเทศไทยอยู่ในภาวะทรงตัว แต่โอกาสที่ป่าจะถึงร้อยละ 40 (ตามนโยบาย) นั้นเลื่อนลอย

ภาพรวมสถานการณ์ป่าไม้ปัจจุบัน

จากข้อมูลล่าสุดในปี พ.ศ. 2567 พบว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าลดลงไป 0.03% จากปีที่แล้ว ตัวเลขนี้อาจดูน้อยเมื่อเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเทียบเท่ากับพื้นที่กว่า 32,000 ไร่ ที่หายไปเลยทีเดียว

ขณะที่จังหวัดตากจังหวัดเดียวพื้นที่ป่าลดลง 10,000 ไร่ หากนึกภาพไม่ออกว่าพื้นที่ใหญ่แค่ไหน อาจารย์วีระภาสเปรียบเทียบให้เห็นว่าหากเราไปเดินงานเกษตรแฟร์ทั้งงานที่มีพื้นที่ประมาณ 800 ไร่ พื้นที่ป่าจังหวัดตากหายไปมากกว่า 12.5 เท่า

ภูมิภาคที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ที่ลดลง 16,000 ไร่ และแม่ฮ่องสอน รวมถึงตาก หากสามารถหยุดยั้งการลดลงในสามจังหวัดนี้ได้ เราอาจจะได้เห็นพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ในขณะที่ภาคกลางเริ่มเห็นการฟื้นตัวในบางพื้นที่ ภาคตะวันออกไม่น่ากังวลมากนัก ยกเว้นบางพื้นที่ตามข่าว ภาคตะวันตกยังคงลดลง ส่วนภาคใต้สถานการณ์ยังไม่รุนแรงมาก

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ป่าชายเลนที่อยู่นอกเขตจังหวัด ซึ่งกำลังงอกขยายและเพิ่มขึ้นประมาณ 800 ไร่ในหนึ่งปี แต่ไม่ได้นำมารวมในการคำนวณพื้นที่ป่าโดยรวมตามขอบเขตจังหวัด

ความท้าทายจากนโยบายและการบังคับใช้กฎหมาย

นโยบายป่าไม้แห่งชาติฉบับแรกปี 2528 กำหนดให้ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 โดยแบ่งเป็นป่าอนุรักษ์ 15% และป่าเศรษฐกิจ 25% ซึ่งภายหลังได้ปรับเป็นป่าอนุรักษ์ 25% และป่าเศรษฐกิจ 15%

ตัวเลข 25% สำหรับป่าอนุรักษ์มาจากการคำนวณปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการใช้งานของประชาชนในขณะนั้น ส่วน 15% สำหรับป่าเศรษฐกิจคำนวณจากปริมาณไม้ที่คนไทยใช้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเคยตอบโจทย์ร้อยละ 40 ได้เพียงปีเดียวคือปี 2516 (43.21%) หลังจากนั้นตัวเลขก็ลดลงมาตลอด

อาจารย์วีระภาสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายที่ยังคงเป้าหมาย 40% ในการปรับปรุงล่าสุดปี 2562 ว่า ‘เลื่อนลอย’ เพราะเป็นเป้าหมายที่ไม่เคยไปถึงจริง ทำให้การของบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้ขาดประสิทธิภาพ

ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ นิยามของ ‘ป่าไม้’ ในกฎหมายไทย โดย พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484 มาตรา 4 และ พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มองป่าเป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์มากกว่าที่จะมองว่าเป็นพืชพรรณหรือความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ซึ่งแตกต่างจากนิยามสากลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ

การรุกคืบและการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่า

อาจารย์วีระภาสชี้ว่า สาเหตุหลักของการลดลงของพื้นที่ป่าในช่วงหลังไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึง การบุกรุกในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะในแนวตะเข็บรอยต่อระหว่างจังหวัดที่เจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัดในการดูแล

นอกจากนี้ การขออนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าโดยหน่วยงานภาครัฐที่ ‘ถูกต้อง’ ตามกฎหมาย กลับกลายเป็นจุดสำคัญในการทำลายพื้นที่ป่า มีหลายกรณีที่หน่วยงานราชการขอใช้พื้นที่ป่าเพื่อสร้างที่พักข้าราชการระดับสูง หรือโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เช่น เขื่อนและถนน ซึ่งพบว่ามีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำกว่า 100 แห่ง และหลายหมื่นไร่ที่ขอใช้พื้นที่ป่า

ปัญหาเชิงระบบและการขาดความเชื่อมั่น

ปัญหาเชิงระบบที่อาจารย์วีระภาสพบจากการทำงานตลอด 12 ปี ได้แก่ เจ้าหน้าที่ป่าไม้บางส่วนไม่เชื่อถือข้อมูลจากดาวเทียม โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการลงพื้นที่ตรวจสอบจำนวนมาก ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ไร่หมุนเวียน”งานวิจัยของอาจารย์พบว่าไม่ใช่การหมุนเวียน แต่เป็นการเคลื่อนย้ายการเปิดพื้นที่ป่าไปเรื่อย ๆ

งบประมาณมหาศาลที่ไร้ประสิทธิภาพ กรมอุทยานแห่งชาติฯ มีงบประมาณกว่า 11,000 ล้านบาท และกรมป่าไม้เกือบ 5,000 ล้านบาท ซึ่งอาจารย์มองว่า ‘เยอะ’ แต่กลับพบว่ามีการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณบ่อยครั้งและแนวเขตพื้นที่ป่าก็ยังไม่นิ่งแม้ผ่านไปกว่า 130 ปี

การบริหารจัดการบุคลากรที่ไม่เหมาะสม การแต่งตั้งหัวหน้าอุทยานฯ หรือหัวหน้าเขตฯ โดยที่ขาดประสบการณ์ตรง หรือไม่ได้เติบโตมาจากสายงานนั้น ๆ การประเมินผลงานเพื่อเลื่อนตำแหน่งที่ขาดความโปร่งใสผลงานที่ใช้ประกอบการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งในกรมบางครั้งไม่สามารถเทียบเคียงกับงานวิจัยในระดับปริญญาโทได้

กฎหมายที่ซับซ้อนและพยายาม ‘กิโยตีน’ ความพยายามของภาคการเมืองที่จะยกเลิกกฎหมายป่าไม้หลายฉบับแล้วตั้งใหม่ อาจทำให้ปัญหาสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมถึงการออก ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ ที่ต้องจับตาดูผลกระทบอย่างใกล้ชิด

บทบาทของเทคโนโลยีและการทำงานภาคพื้นดิน

อาจารย์วีระภาสเน้นย้ำว่า แม้จะใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมในการแปลผล แต่ก็ยังต้องมี ‘กราวด์เช็ค’ หรือการตรวจสอบภาคพื้นดิน โดยเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ การใช้ AI อาจจะยังไม่เหมาะ เนื่องจากมีพื้นที่ป่าไม้ตามการจำแนกถึง 16 ประเภท

อาจารย์ยังเตือนว่า คนรุ่นใหม่ที่พึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป เช่น โดรน อาจทำให้การลงพื้นที่ลาดตระเวนน้อยลง โดรนเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนที่ช่วยให้มองเห็นเร็ว แต่ไม่สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ใต้เรือนยอดได้ การเดินเท้าเข้าพื้นที่ยังคงจำเป็น

ข้อเสนอแนะและการเรียกร้อง

อาจารย์วีระภาสเรียกร้องให้ ภาครัฐและประชาชนร่วมกันดูแลพื้นที่ป่า โดยภาครัฐต้องป้องกันการลดลง และประชาชนควรมีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่ป่า เช่น การปลูกต้นไม้และดูแลรักษา

สิ่งสำคัญอีกประการคือ การสนับสนุนกำลังใจให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ในระดับพื้นที่ เช่น การมอบสิ่งของจำเป็นอย่างบะหมี่สำเร็จรูป น้ำดื่ม หรือรองเท้า และการที่ ภาคประชาชนควรมีส่วนร่วมในการส่งเสียงและติดตามประเด็นที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้

สถานการณ์ป่าไม้ไทยในปี 2025 จึงยังคงเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งจากปัจจัยทางกายภาพ ปัญหาเชิงนโยบาย การบังคับใช้กฎหมาย และการบริหารจัดการบุคลากร การแก้ปัญหาเหล่านี้จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

จิตวิญญาณการอนุรักษ์และแรงบันดาลใจ

สำหรับอาจารย์วีระภาส คุณสืบ นาคะเสถียร คือแรงบันดาลใจสำคัญ ที่ทำให้เข้าศึกษาในคณะวนศาสตร์ และเลือกที่จะสร้าง ‘ตัวเลขพื้นที่ป่าไม้’ ซึ่งเป็นตำนาน 12 ปี 12 ชุดข้อมูลที่ถูกประทับไว้

อาจารย์เชื่อว่าผลงานชุดนี้ไม่สามารถลบล้างได้ และยังคงเห็นจิตวิญญาณของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ระดับพื้นที่ที่ทำงานอย่างเต็มที่ แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดมากมาย

Seub Life Fest รำลึก 35 ปี สืบ นาคะเสถียร สืบสานงานอนุรักษ์ ขอขอบคุณ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) Pasaya ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) การไฟฟ้านครหลวง NIRAN พวงหรีดรักษ์โลก บริษัท ไอรา เนเชอรัล โพรดักส์ จำกัด และเครื่องดื่ม M-150 ฝาเหลือง บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)

ผู้เขียน

+ posts

นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้