การแก้ไขมาตรา 69 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ยังคงเป็นสมรภูมิทางความคิดที่เผชิญกันระหว่างกลุ่มที่ต้องการให้มีการแก้ไข และกลุ่มที่มีจุดยืนในการคัดค้าน ความเห็นต่างนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการแก้กฎหมาย แต่เกี่ยวพันโดยตรงกับความอยู่รอดของชาวประมงรายย่อย ความยั่งยืนของระบบนิเวศ และอนาคตของทรัพยากรทางทะเลไทย
ใจความสำคัญของความเห็นต่างในการแก้ไขมาตรา 69 อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการใช้เครื่องมือ “อวนล้อมจับ” ที่มีตาอวนขนาดเล็กในเวลากลางคืน ซึ่งกฎหมายเดิม ห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน โดยเด็ดขาด ขณะที่ร่างแก้ไขใหม่ เปลี่ยนเป็น ห้ามเฉพาะภายในระยะ 12 ไมล์ทะเล จากชายฝั่งในเวลากลางคืน ซึ่งเท่ากับเป็นการ “เปิดช่อง” ให้สามารถใช้เครื่องมือดังกล่าวได้นอกเขต 12 ไมล์ทะเล
กลุ่มประมงพื้นบ้านเห็นว่า การเปิดช่องให้อวนตาถี่ใช้งานนอกเขต 12 ไมล์ทะเลในช่วงกลางคืน จะสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลอย่างรุนแรง เนื่องจากเป็นแหล่งหากินสำคัญของสัตว์น้ำวัยอ่อนและสัตว์ทะเลหายาก การใช้อวนตาถี่ควบคู่กับการใช้ไฟล่ออวนล้อมปั่นไฟ จะเป็นการดึงดูดและจับสัตว์น้ำทุกชนิดโดยไม่เลือก ทำให้วงจรชีวิตของสัตว์น้ำเศรษฐกิจถูกตัดตอนก่อนจะเติบโต
ร่างแก้ไข พ.ร.ก.การประมง ได้ผ่านการพิจารณาของทั้งสองสภา แต่เกิดความเห็นที่ไม่ตรงกันในมาตรา 69 สภาผู้แทนราษฎร (สส.) ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของ สว. และต้องการคงเนื้อหาเดิมของร่างแก้ไขที่เสนอมา ส่วนวุฒิสภา (สว.) มีมติให้แก้ไขมาตรา 69 กลับไปใกล้เคียงกฎหมายเดิม คือ “ห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทุกประเภทที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน”
ความเห็นที่แตกต่างนี้นำไปสู่การตั้ง คณะกรรมาธิการร่วมสองสภา เพื่อหาข้อยุติ โดยการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้ เลื่อนการลงมติออกไปอีกครั้ง เนื่องจากยังมีความคิดเห็นที่แตกต่าง และต้องการให้เกิดพื้นที่แสดงความเห็นของทุกฝ่ายก่อนที่จะมีการลงมติ และอาจมีการเปิดเวทีที่รัฐสภา ให้ทั้งฝ่ายประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเผยแพร่ข้อมูลในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ก่อนกรรมาธิการร่วมทั้งสองสภาจะลงมติในวันที่ 28 สิงหาคม ที่จะถึงนี้
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มที่คัดค้านการแก้กฎหมายประมงอย่างกลุ่มสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยและเครือข่าย ได้รวมตัวกันหน้าอาคารรัฐสภากว่า 50 คน เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ด้วยการละหมาดฮายัต ดุอาร์ และสวดมนต์ เพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายการเมืองทบทวนท่าที และไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 69
ขณะที่ ดร.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะนายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุถึงการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ใจความสำคัญว่า ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานกรรมาธิการร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประมงฯ ขอให้ฝ่ายวิชาการพูดตรง ๆ ถึงผลกระทบของการทำประมง โดย ดร.ศักดิ์อนันต์ ยืนยันว่า “แสงไฟดึงดูดสัตว์น้ำเข้ามาหลายชนิด ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางทางนิเวศและการประมงอื่น ๆ อวนล้อมมีรัศมีทำการกว้างสัตว์น้ำขนาดเล็กมีโอกาสหลุดไปน้อยมาก”
ด้าน ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เห็นตรงกันว่าทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ การใช้อวนล้อมปั่นไฟจับปลากะตักทำให้ระบบนิเวศเสี่ยงต่อความไม่สมดุล เนื่องจากไม่สามารถเลือกชนิดสัตว์น้ำได้ และมีสัตว์น้ำหลายชนิดติดเข้ามาด้วย จึงไม่สนับสนุนวิธีการนี้
ด้านนักวิชาการกรมประมงอย่าง ดร.ปวโรจน์ นรนาถตระกูล ระบุว่า ข้อดีคือช่วยเพิ่มผลผลิตปลากะตักมาชดเชยการนำเข้าน้ำปลาราว 20,000 ตัน และสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ แต่ข้อเสียคือมีสัตว์น้ำเศรษฐกิจชนิดอื่นติดมาถึง 23% หรือเท่ากับการสูญเสียกว่า 4,600 ตัน หากสัตว์น้ำเหล่านี้มีโอกาสเติบโตเต็มวัย ความเสียหายจะยิ่งทวีคูณ
ดร.ศักดิ์อนันต์ ทิ้งท้ายสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเครื่องมือประมงแบบเดิมกับอวนล้อมปั่นไฟที่ก่อผลกระทบอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นเหตุผลให้มีการห้ามใช้มาตั้งแต่ปี 2526 และตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา ยังไม่มีงานวิจัยใดมาหักล้างได้ว่า วิธีการนี้ไม่กระทบต่อระบบนิเวศ
ไม่ว่าผลการลงมติจะออกมาเป็นอย่างไร แต่การแก้ไขมาตรา 69 ในร่าง กฎหมายฉบับใหม่ชี้ชัดเจนว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศชายฝั่งในระยะยาว และผลการตัดสินใจในครั้งนี้ จะถือเป็นตัวกำหนดทิศทางและอนาคตของท้องทะเลไทยต่อไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อ้างอิง
ผู้เขียน
นักสื่อสารผู้หลงใหลในธรรมชาติ เชื่อว่าการเล่าเรื่องที่ดีสามารถเปลี่ยนมุมมองและปลุกพลังการอนุรักษ์ได้