คำถามถึงหน่วยงานรัฐเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิ.ย. 2568

คำถามถึงหน่วยงานรัฐเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิ.ย. 2568

การเริ่มต้นคิดพัฒนาโครงการด้วยมาตรวัตรทางเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง แต่ภายหลังโครงการที่เกิดขึ้นกลับพบว่าก่อให้เกิดปัญหาทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมตามมา หลายครั้งพบว่าโครงการพัฒนาของรัฐกลับเป็นตัวเร่งให้มีการสูญเสียพื้นที่ป่ามากยิ่งขึ้น ในขณะที่ทุกประเทศทั่วโลก กำลังตระหนักและให้ความสำคัญในการชะลอหรือหาทางรับมือกับภาวะโลกเดือด (global boiling) หยุดยั้งการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าและลดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ให้ความสำคัญกับการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศเพื่อคนรุ่นต่อไป อีกทั้งประเทศไทยได้ร่วมลงนามและให้สัตยาบันกับนานาประเทศ ทั้งอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พิธีสารเกียวโต ความตกลงปารีส ฯลฯ มีการจัดทำแผนแม่บทและตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมากมาย แต่อาจลืมไปว่าประเทศไทยเองก็ได้ตั้งเป้าหมายพื้นที่ป่าที่ควรมีไว้เพื่ออำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับประชาชนทั้งประเทศ 

ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ประเทศไทยปี 2567 แม้จะไม่ได้มีตัวเลขที่ลดลงจนน่าตกใจเหมือนปี 2566 ที่มีพื้นที่ป่าไม้ลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี คือลดลงจากปี 2565 ถึง 317,819.20 ไร่ หรือมีพื้นที่ป่าไม้เหลือเพียง101,818,155.76 ไร่ คิดเป็น 31.47% ของพื้นที่ประเทศ ส่วนในปี 2567 พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยคงเหลือ 101,785,271.58 ไร่ หรือ 31.46%  ถึงแม้ตัวเลขจะเปลี่ยนแปลงไม่มากแต่ยังคงเป็นอัตราที่ลดลงอยู่ดี

ไม่เพียงเท่านั้นในหน้าสื่อต่างๆ กลับพบว่าประชาชนต้องลุกขึ้นมาปกป้องเพื่อรักษาพื้นที่ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพจากการทำลายด้วยโครงการพัฒนาของรัฐหรือการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่าโดยรัฐเอง

ทั้งโครงการขอใช้พื้นที่ป่าเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ำนับร้อยโครงการ การตัดถนน ทำเหมือง สร้างกระเช้าไฟฟ้า กำแพงกันคลื่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่กลายเป็นแรงกดดันทำให้พื้นที่ที่เคยมีความหลากหลายทางชีวภาพต้องถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นสวนกล้วย ฯลฯ จนมีคนกล่าวว่าปัจจุบันไม่ใช่ประชาชนที่ทำให้พื้นที่ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพหายไป แต่กลับเป็นรัฐเสียเองที่ทำลายสิ่งเหล่านี้ด้วยปลายปากกา 

ถึงแม้โครงการพัฒนาต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าจะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเพื่อการตัดสินใจอย่างคุ้มค่าในทุกมิติ แต่ทว่าขั้นตอนดังกล่าวกลับเป็นขั้นตอนที่ประชาชนไม่ไว้วางใจเสียแล้ว อีกทั้งช่องว่างทางกฎหมายที่ทำให้กระบวนการจัดทำและพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการรักษาพื้นที่ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพได้ กระบวนการดังกล่าวในหลายโครงการสะท้อนให้เห็นว่ากลายเป็นใบเบิกทางให้มีการทำลายพื้นที่ป่าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) ในหัวข้อบริบทการพัฒนาประเทศในมิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีเนื้อหาที่น่าสนใจระบุว่า “ประเทศไทยมีทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ทั้งนี้ หากมีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินพอดี ทั้งในมิติด้านการผลิตและการบริโภค ซึ่งก่อให้เกิดของเสียและมลพิษในระดับที่เกินกว่าความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศในพื้นที่ จนส่งผลกระทบให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศเสื่อมโทรมลงนั้น อาจส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยการมุ่งพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะหลายสิบปีที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาที่เน้นผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจจนขาดการคำนึงถึงความยั่งยืนของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและขีดความสามารถของระบบนิเวศที่เพียงพอ … จึงส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติของไทยเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง”

ดังนั้นผู้เขียนมองว่าการพัฒนาประเทศในอนาคตไม่สามารถแยกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมออกจากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้อีกต่อไป และขอตั้งคำถามถึงหน่วยงานรัฐเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก เมื่อไหร่รัฐจะหยุดคิดหรืออนุญาตให้ทำโครงการทำลายป่าและความหลากหลายทางชีวภาพในนามของการพัฒนาเสียที?

อ้างอิง

ผู้เขียน

+ posts

ตำแหน่ง หมาเฝ้าป่า ผู้มีความหลงใหลในโลกใบจิ๋วของพืชและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย มีความสุขกับการปั่นจักรยาน ทำขนมปัง และชอบใช้ของมือสอง