คนเฝ้าช้าง (ตอน 6)

คนเฝ้าช้าง (ตอน 6)

หลังดวงตะวันลอยลาละขอบฟ้า เป็นเวลาไล่เลี่ยกับกลุ่ม Elephant Guard เริ่มต้นเข้ากะ สวมใส่เครื่องแบบเป็นคนเฝ้าช้าง เตรียมพร้อมทำงานผลักดันพี่ใหญ่ไม่ให้เดินทางมาถึงไร่นาชุมชน

เป็นหนึ่งในภารกิจประจำวันที่ต้องลงมือทำอย่างมิอาจเพิกเฉย เมื่อช้างออกมาหากินนอกป่าแทบทุกวัน หากไม่ลุกขึ้นมาทำบางสิ่งบางอย่าง เรื่องคงบานปลายเป็นความขัดแย้งจนยากจะบรรเทา

และนั่นเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อยากให้เกิด เหมือนอย่างที่กลุ่มเคยบอกกับสาธารณชน “มาช่วยกันแก้ปัญหาดีกว่าครับ ดีกว่าโทษว่าช้างผิดหรือคนผิด”   

ไม่นานมานี้ Elephant Guard หรือกลุ่มอาสาสมัครผลักดันช้างป่าของบ้านเขาไม้นวล ตำบลระบำ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี เริ่มตั้งข้อสังเกตว่า “ช้างออกมาจากป่ามาเร็วขึ้นครับ” และมันหมายถึงชั่วโมงทำงานที่ต้องเริ่มเร็วกว่าเก่า เกิดเป็นเงื่อนไขใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง

แม้กลุ่มจะมีนวัตกรรมสัญญาณเตือนคอยแสดงให้ทราบว่าช้างปรากฏตัวที่จุดใด ไม่ต้องเฝ้าเสี่ยงทายใจ หรืออยู่เวรยามกลางไร่ตลอดทั้งคืนเหมือนวันเวลาก่อนหน้า แต่เพียงอุปกรณ์ที่มีกับหัวจิตหัวใจ คงไม่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ทั้งหมด 

เหนืออื่นใด ‘คนเฝ้าช้าง’ ยังต้องการปัจจัยเกื้อหนุนประกอบอีกหลายอย่าง

และพวกเขาไม่รีรอที่จะตามหาสิ่งเหล่านั้น…

หลังจากประกาศตัวชัดว่า ‘เราคือใคร’ Elephant Guard ได้ชักชวนหน่วยงานในพื้นที่มาร่วมหารือแนวทางการทำงาน 

จดหมายจากบ้านเขาไม้นวลถูกส่งไปยัง เจ้าหน้าที่จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง องค์กรอนุรักษ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนนักวิชาการ

เวทีประชุมที่ศาลาหมู่บ้านในวันที่ฝนตกตลอดเวลา ถูกวางไว้อย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีการหรือวิทยากรนำกระบวนการ เป็นเวทีเปิดกว้าง ใครใคร่อยากบอกกล่าวสิ่งใดก็เอ่ยออกมาได้หมด ทั้งความต้องการ ความในใจ แม้ฟังดูสับสนแต่ทุกๆ ถ้อยคำกลับสะท้อนถึงขนาดหัวใจที่พองโตและความมุ่งมั่นต่อการจัดการปัญหาที่กำลังเผชิญ

“ถ้าไม่ช่วยตัวเองก่อนแล้วใครจะช่วยเรา??” Elephant Guard เคยบอกไว้

พวกเขาย้ำชัดว่ามีความตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ได้อยากเด่นอยากดัง หรือขอแยกตัวออกมาฉายเดี่ยว แต่ตั้งกลุ่มขึ้นมาพร้อมทำงานอย่างมีส่วนร่วมกับทุกๆ หน่วยงาน 

สมาชิกคนหนึ่งกล่าวในวงประชุมด้วยความนอบน้อมยอมรับว่าสิ่งที่มียังไม่พอ และบางเรื่องที่เผชิญมันเกินปัญญาไปไม่น้อย 

“พวกเราอยากให้พวกพี่ๆ มาให้ความเห็น ว่าแนวทางที่พวกเราเริ่มนี้ มันดีแล้วหรือยัง ขาดเหลือส่วนไหนอีกบ้าง” 

หลังเรื่องราวมากมายหลั่งใหลพรั่งพรู สุดท้ายตกผลึกเห็นพ้องต้องกันว่ามี 3 เรื่อง ที่ต้องเร่งทำก่อน

เรื่องแรก ต้องรีบจัดทำข้อมูลช้างป่าที่ออกมาหากินบริเวณบ้านเขาไม้นวล ที่ผ่านมามีเพียงคำบอกเล่าจากความทรงจำ มีจำได้บ้างไม่ได้บ้าง วงประชุมเห็นควรต้องบันทึกให้ชัด ถ้ามีกล้องวงจรปิดด้วยยิ่งดีใหญ่ เพื่อลงรายละเอียดไล่มาตั้งแต่มีช้างเข้ามาหากินกี่ตัว เส้นทางสัญจรเริ่มต้นจากจุดใด เพื่อวางอุปกรณ์แจ้งเตือนได้ถูกจุด

ไปจนถึงจัดทำแผนที่ชุมชน พื้นที่แปลงเกษตรกรรมต่างๆ และลักษณะภูมิประเทศเป็นอย่างไร และระบุพิกัดที่พบช้าง เพื่อนำไปสู่การวางแผนบริการจัดการสำหรับทีมอาสาสมัคร 

เรื่องที่สอง คือ องค์ความรู้เกี่ยวกับการผลักดันช้างป่า 

แม้มีขนาดหัวใจที่ใหญ่เกินร้อย แต่องค์ความรู้ก็สำคัญ การผลักดันสุ่มสี่สุ่มห้าคงนำมาซึ่งความเสี่ยงมากกว่าความสำเร็จ

บางวันอาจมีชุดผลักดันสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่พาประสบการณ์มาอยู่เป็นเพื่อนให้คอยอุ่นใจ แต่ชุดผลักดันสัตว์ป่าที่มีอยู่เพียงน้อยนิดคงไม่สามารถทำหน้าที่ได้ทุกคืน พวกเขาต้องสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ตามแต่สถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ในแต่ละรัตติกาล อาจต้องผละจากบ้านเขาไม้นวลไปประจำที่หมู่บ้านอื่นๆ เมื่อถึงเวลานั้น ชุด Elephant Guard ต้องทำงานด้วยตัวเอง 

การเพิ่มพูนองค์ความรู้วิธีการผลักดัน การดูลักษณะท่าทางของช้าง การแกว่งหูแก่งหางเป็นอย่างไร ต้องมีความรู้ส่วนนี้เป็นพื้นฐาน 

วงประชุมสรุปว่าต้องเชิญผู้มีประสบการณ์มาให้ความรู้ หรือเชิญคนเฝ้าช้างจากที่อื่นๆ มาแชร์ทักษะ

แม้บทเรียนที่ผ่านมาอาจสะท้อนว่าพฤติกรรมของช้างป่าแต่ละที่ไม่เหมือนกัน จำนวนมากจำนวนน้อยก็ผลักดันไม่เหมือนกัน หรืออาจพบสถานการณ์เฉพาะหน้าแตกต่างจากที่เรียนมา แต่อย่างน้อยๆ ก็เป็นสิ่งรู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ค่อยๆ พัฒนาร่วมกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันกันไป

และเรื่องสุดท้าย นวัตกรรมระบบเตือนภัย

Elephant Guard ได้พัฒนาระบบเตือนภัย มีเสาส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ LoRa ไปยังตัวรับสัญญาณ เมื่อช้างเดินมาชนเอ็นหรือลวด เสาก็จะส่งสัญญาณไปหาเครื่องรับที่ตั้งอยู่ในชุมชน แล้วเครื่องรับจะแสดงหมายเลขให้เห็นว่าช้างป่าเพิ่งเดินผ่านพิกัดเสาสัญญาณตัวไหน 

เมื่อรู้ว่าช้างมายังจุดไหน ทีม Elephant Guard จะออกไปผลักดันที่จุดนั้น ไม่ต้องออกไปเสี่ยงคอยเดาใจช้างป่า หรือออกไปนั่งเฝ้ากลางไร่ในความมืดตลอดทั้งคืน 

นับว่าเป็นเครื่องมือที่ดี แต่มีความเห็นว่ายังสามารถพัฒนาให้ดีได้อีก และไม่เพียงแต่เรื่องเชิงคุณภาพ แต่ยังมีเรื่องปริมาณ การติดตั้งให้ครอบคลุมในทุกๆ เส้นทางเดินของช้างป่า

ที่ว่ามา เป็นเพียงบทสรุปส่วนหนึ่งของการประชุม ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา มีเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่าง ‘ค่าใช้จ่าย’ และชีวิตครอบครัว

ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นกลางวงว่า “ค่าอาหารเดือนแรกมันคงจะไม่มีปัญหาหรอก แต่พอเดือนที่สองหรือเดือนที่สาม เมียที่บ้านก็จะถามแล้วลูกยังไม่ได้กินข้าวเลย เพราะฉะนั้นองค์ประกอบพวกนี้ต้องถูกนึกถึงด้วย แล้วอาจต้องมาคุยกันว่า จะหาช่องทางในการสนับสนุนเรื่องพวกนั้นยังไง ถึงจะครอบคลุมทุกเรื่อง”

หรือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ได้รับอุบัติเหตุระหว่างผลักดัน ใครจะเป็นคนดูแล จะสรรหาค่ารักษาพยาบาลมาจากส่วนไหน 

และอีกนานาจิปาถะ ทั้งประเด็นสถานการณ์ช้างป่าในวันนี้เป็นอย่างไร สาเหตุที่ช้างออกมาเพ่นผ่านนอกป่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไปแล้วใครเป็นผู้รับผิดชอบ 

และอีกหลายคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ… 

รวมถึงแนวทางที่พบแสงสว่างแล้วก็ยังไม่มีกำหนดว่าจะเดินทางไปถึงเมื่อใด

แต่เมื่อเริ่มต้นแล้ว ก็จำเป็นต้องลงมือทำต่อ ‘ทำในสิ่งที่ทำได้ก่อน’ เหมือนกับที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีระบบแจ้งเตือนช้างป่าขึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว แม้ไม่สมบูรณ์พร้อมสรรพในนาทีแรก แต่ยังมีโอกาสพัฒนาในวินาทีถัดไปด้วยแรงหนุนจากหลายภาคส่วนที่ได้เข้าร่วมประชุม

เหนืออื่นใด หนทางของ Elephant Guard นับเป็นบทเรียนอันน่าสนใจ เมื่อชุมชนลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง พร้อมบูรณาการกับหลายภาคส่วน หากต่อยอดวิธีการไปยังชุมชนอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเดียวกันได้ คงเกิดประโยชน์อีกอักโข

เหมือนที่ Elephant Guard เคยบอกเอาไว้ “มาช่วยกันแก้ปัญหาดีกว่าครับ ดีกว่าโทษว่าช้างผิดหรือคนผิด” 

ตลอดปี พ.ศ. 2568 มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ให้การสนับสนุนเสบียงและอุปกรณ์ผลักดันช้างป่า แก่ชุดเฝ้าระวังผลักดันช้างป่า ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และเครือข่ายเฝ้าระวังที่จัดตั้งโดยชุมชนเป็นประจำทุกเดือน ในกิจกรรมลาดตระเวนร่วมดูแลป้องกันทรัพยากรในป่าชุมชนและสนับสนุนเสบียงสำหรับเครือข่ายผลักดันสัตว์ป่า โดยใช้งบประมาณจากโครงการธรรมชาติปลอดภัย

ผู้เขียน

Website | + posts

ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม