ยามเช้าในฤดูฝน กลิ่นดินชื้นผสมกับกลิ่นหอมบางๆ ของเห็ดโคนที่เพิ่งผลิขึ้นตามโคนไม้ใหญ่ ชาวบ้านเล่าว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ “เห็ดออกดี” ใครที่ได้ลิ้มลองต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือรสชาติของป่าชุมชน และยังเป็นรายได้ก้อนสำคัญของครอบครัวอีกหลายครัวเรือน
ข้อความนั้นยืนยันได้จากข้อมูลการใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าชุมชน 16 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ และกำแพงเพชร ที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ดำเนินกิจกรรมตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลตลอด 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2566 – 2567)
ที่มาที่ไปของกิจกรรมมีเพื่อสำรวจทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชน และลงรายละเอียดเรื่องมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับจากการอนุรักษ์และดูแลป่าชุมชนอย่างสม่ำเสมอ เป็นกิจกรรมย่อยในโครงการฟื้นฟูแนวเชื่อมต่อของสัตว์ป่าและการสร้างความพร้อมต่อการรับมือสภาพภูมิอากาศในพื้นที่แนวกันชนของผืนป่าตะวันตก
ซึ่งเป้าหมายหนึ่งของโครงการเกี่ยวข้องกับปากท้องคนในชุมชน จากการรักษาความมั่นคงทางอาหารและนิเวศบริการที่ดี เป็นผลมาจากการดูแลป่าชุมชนอย่างเข้มข้นผ่านกิจกรรมอื่นๆ ที่ดำเนินการไปพร้อมๆ กัน เช่น การลาดตระเวนดูแลป่า การทำแนวกันไฟ และอื่นๆ
ถึงแม้โครงการฟื้นฟูแนวเชื่อมต่อของสัตว์ป่าและการสร้างความพร้อมต่อการรับมือสภาพภูมิอากาศในพื้นที่แนวกันชนของผืนป่าตะวันตก จะสิ้นสุดลงเมื่อปลายปี 2567 ปัจจุบันกิจกรรมเก็บข้อมูลการใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าชุมชนยังดำเนินอยู่ ภายใต้โครงการใหม่ที่ทำต่อเนื่องจากเดิม หรือโครงการสร้างความพร้อมต่อการรับมือสภาพภูมิอากาศในพื้นที่แนวกันชนของผืนป่าตะวันตก
ที่นอกจากการสำรวจแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือ การฟื้นฟูป่า ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้ในการสร้างแหล่งอาหารใหม่ทดแทนการการพึ่งพิงทรัพยากรดั้งเดิมในป่า
ซึ่งหากท้าวความถึงการเก็บข้อมูลการใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าชุมชนทั้ง 16 แห่งแล้ว จะพบว่าในปี พ.ศ. 2566 มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรมีมูลค่าสูงถึง 75,925,666.25 บาท ขณะที่ปีต่อมา พ.ศ. 2567 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 156,257,938 บาท หรือเพิ่มมากกว่าเท่าตัว
ปัจจัยหลัก ที่ทำให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างมานัยสำคัญเกิดจาก ‘เห็ดโคน’ ที่ในปี 2567 เกิดขึ้นมากกว่าปีก่อนๆ หลายเท่าตัว คิดเป็นมูลค่ามากถึง 50,993,500 บาท รองลงมาคือ หน่อไม้ 23,640,900 บาท และอึ่ง 16,697,100 บาท


อย่างไรก็ดี การเก็บหาในปีที่ผ่านมา อาจเรียกว่าเป็นความโชคดีที่บังเอิญทรัพยากรเกิดขึ้นเยอะ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดการันตีว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป
ทุกคนรู้ดีว่าทรัพยากรในป่าไม่ได้เกิดขึ้นตามใจเรา การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ น้ำฝนที่ไม่มาตามนัดของฤดูกาล หรือแม้แต่การเก็บที่มากเกินไป ล้วนส่งผลให้ปีต่อไปอาจไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนภาพอดีตที่แสนหอมหวาน
ดังนั้น หากไม่มีแผนเตรียมรับมือใดๆ การพึ่งพิงแหล่งทรัพยากรที่เคยมี มีโอกาสมลายหายสิ้นได้
และนั่นก็เป็นหนึ่งในที่มาของกิจกรรมพัฒนาองค์ความรู้ในการสร้างแหล่งอาหารใหม่ทดแทนการการพึ่งพิงป่า
โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้ใช้วาระการประชุมสรุปผลการลาดตระเวนของคณะกรรมการป่าชุมชนที่ทำร่วมกับหน่วยป้องกันรักษาป่าของกรมป่าไม้ พูดคุยหารือในประเด็นนี้ผ่านการสอบถามความคิดเห็นถึงความเป็นไปได้ในการสร้างแหล่งอาหารใหม่เพื่อลดการพึ่งพิงทรัพยากรในป่าชุมชนเพียงทางเดียว
ในวงประชุมต่างเห็นด้วยกับแนวทางกิจกรรม พร้อมนำเสนอความสนใจทรัพยากรในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ที่เห็นว่าชุมชนแต่ละแห่งจะได้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้ ทั้งในแง่ของคลังอาหารและเป็นรายได้เสริม
หรือในบางเรื่องที่อาจวัดเป็นมูลค่าไม่ได้ ทรัพยากรจากป่ายังเป็นที่มาของภูมิปัญญาและความผูกพัน ชาวบ้านบางคนเล่าว่าการเก็บหาทรัพยากรจากป่าชุมชนหากช้าเพียงครึ่งวันจะถูกเก็บจนหมดไปแล้ว หน่อไม้บางชนิดใช้ทำแกงที่เป็นอาหารประจำเทศกาล สิ่งเหล่านี้คือมิติที่มากกว่าเงินตรา แต่มีคุณค่าในฐานะวัฒนธรรมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ข้อสรุปเบื้องต้น มีชุมชนที่สนใจเข้าร่วม 4 แห่ง ที่พร้อมลงมือปฏิบัติได้ทันที โดยไม่พะวงกับภาระหน้าที่อื่นที่ต้องทำควบคู่กันไป เพราะการพัฒนาองค์ความรู้ก็เหมือนภาระหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องทำประจำวัน หากจัดสรรเวลาไม่ได้ ผลลัพธ์ก็ยากจะเกิดเป็นทรัพยากรให้ใช้จริง
ส่วนทรัพยากรที่สนใจ ประกอบด้วย การปลูกผักอีนูน ปลูกผักหวาน การเลี้ยงอึ่ง และเลี้ยงมดแดง
และในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้มอบกล้าผักหวานให้กับชุมชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (มอบให้ทุกป่าชุมชน) และคณะกรรมการต่างนำกลับไปลงมือปลูกกันเป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่ส่วนของผักอีนูน เลี้ยงอึ่ง เลี้ยงมดแดง อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดหากล้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อ มีกำหนดดำเนินการให้แล้วเสร็จในอีกไม่นานเกินรอ

อย่างไรก็ดี ความตั้งใจเดิมของกิจกรรม ภาพฝันที่วาดไว้คือการได้เห็นการนำทรัพยากรทั้ง 4 อย่างเข้าไปปลูกไปใช้ในป่าชุมชน แต่เสียงสะท้อนของคณะกรรมการป่า คนที่คลุกคลีอยู่กับการใช้และการรักษาทรัพยากรมองว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และต่างเห็นตรงกันว่า ‘ต้นทุน’ ทรัพยากรที่เพิ่มมาใหม่มีโอกาสถูกเก็บไปเสียก่อนจะได้ขยายพันธุ์เพิ่มพูนปริมาณ
ข้อตกลงจึงปรับมาเป็นการการเพาะและดูแลในรั้วบ้านของคณะกรรมการป่าก่อน เมื่อผลิดอกออกผลเป็นรูปธรรมมากมายเมื่อไหร่ ค่อยนำไปขยายผลในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงเพิ่มแนวร่วม นำองค์ความรู้นี้ไปสู่คณะกรรมป่าชุมชนรายอื่นๆ ป่าชุมชนแห่งอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เข้าร่วมในปีแรก ตลอดจนคนใช้ประโยชน์ที่สนใจ
เพื่อที่อนาคตการการพึ่งพิงป่าชุมชนจะลดน้อยลง มีเวลาในป่าได้ฟื้นฟูทรัพยากร และมีใช้กันอย่างยั่งยืนไปอีกนาน
เพราะเราไม่ควรเป็นผู้บริโภคฝ่ายเดียว แต่ต้องเป็น ‘ผู้พิทักษ์’ และ ‘ผู้ลงทุน’ ให้กับธรรมชาติได้ด้วย
และสุดท้าย เมื่อทรัพยากรในป่าชุมชนยังคงความอุดมสมบูรณ์ ย่อมส่งผลไปถึงการคงไว้ซึ่งแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของโครงการสร้างความพร้อมต่อการรับมือสภาพภูมิอากาศในพื้นที่แนวกันชนของผืนป่า
ที่เกิดประโยชน์กว้างไกลมากกว่าการใช้ประโยชน์ทางตรงจากป่า
กิจกรรมพัฒนาองค์ความรู้ในการสร้างแหล่งอาหารใหม่ทดแทนการการพึ่งพิงทรัพยากร เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างความพร้อมต่อการรับมือสภาพภูมิอากาศในพื้นที่แนวกันชนของผืนป่าตะวันตก ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม