ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดเรื่อง ‘กระจายอำนาจ’ กลับมาได้รับความสนใจอย่างชัดเจนอีกครั้ง ทั้งในแวดวงนโยบายสาธารณะ การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ตลอดจนภาคีเครือข่ายหน่วยงานที่เกี่ยวเนื่อง
โดยเฉพาะเมื่อบริบทปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งเรื่องไฟป่า และสัตว์ป่าออกมาหากินในพื้นที่ชุมชนจนเกิดเป็นประเด็นรายวัน หากต้องรอเพียงการบริหารจากส่วนกลางแบบเดิมก็คงไม่อาจจัดการกับเหตุที่เกิดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป
แนวคิดเรื่อง ‘กระจายอำนาจ’ จึงถูกยกเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการทรัพยากร ที่จำเป็นต้องเร่งกระบวนการให้เกิดรูปธรรมในเร็ววัน
และเป็นหนึ่งในประเด็นที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร กำลังผลักดันอยู่ ณ ขณะนี้
ภาณุเดช เกิดมะลิ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร อธิบายถึงความสนใจเรื่องงานกระจายอำนาจว่าจากประสบการณ์ในการทำ ‘โครงการจัดการพื้นที่คุ้มครองอย่างมีส่วนร่วม’ ของมูลนิธิ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การเสริมศักยภาพของชุมชนให้สามารถมีส่วนร่วมในการดูแลทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดแนวเขต การวางกรอบกติกาหาอยู่หากินในพื้นที่อนุรักษ์ร่วมกัน คือ หัวใจของความสำเร็จในการอนุรักษ์ระยะยาว การกระจายอำนาจจึงไม่ใช่เพียงแนวนโยบาย แต่คือกลไกที่ทำให้ชุมชนกลายเป็นพลังสำคัญของระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
“การจัดการทรัพยากรในปัจจุบันไม่สามารถพึ่งพาเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ แต่เพียงฝ่ายเดียวได้ ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานในท้องที่น้ันๆ”
ในภาพรวมใหญ่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ได้เกิดการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการเพื่อการส่งเสริม การสนับสนุน และการประสานงานในการดำเนินงาน ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และคณะกรรมการกระจายอำนาจ ซึ่งเปิดทางให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เข้ามามีบทบาทใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ การจัดการสัตว์ป่านอกพื้นที่ และการจัดการไฟป่า
การจัดการสัตว์ป่านอกพื้นที่ อปท. สามารถช่วยเหลือดูแลสัตว์ป่าที่ออกนอกพื้นที่ป่า รวมถึงการจัดการกับสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือรบกวนชุมชน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีอำนาจตามกฎหมายรองรับ
การจัดการไฟป่า อปท. มีบทบาททั้งในการป้องกันและระงับไฟป่าที่เกิดขึ้นในและนอกเขตพื้นที่อนุรักษ์ โดยสนับสนุนทั้งในด้านอุปกรณ์ บุคลากร และการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ
นอกจากนี้ ยังมีการขยายความร่วมมือไปยังพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งอยู่ภายใต้กรมป่าไม้ ทำให้บทบาทของ อปท. ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ต่อบทบาทของ อปท. ที่เพิ่มตามมา ภาณุเดช เห็นว่าย่อมมีความท้าทายตามเป็นเงามา โดยเฉพาะเรื่องความพร้อมและศักยภาพของบุคลากรท้องถิ่น
“จากประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ เห็นว่าหลายพื้นที่ยังขาดความเข้าใจ และยังต้องผลักดันศักยภาพในการปฏิบัติงานตามกรอบบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ทางมูลนิธิจึงประสงค์ทำหน้าที่ ‘ตัวกลาง’ เชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆ ทั้งกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ อปท. และคณะกรรมการกระจายอำนาจ เพื่อวางแนวทางและสนับสนุนการทำงานร่วมกัน” ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าว
ซึ่งช่วงกลางปีที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมร่วมกันระหว่างมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และคณบดีคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อหารือแนวทางการกระจายอำนาจ สัตว์ป่า และไฟป่า และสร้างรูปธรรมของการทำงานให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในการประชุมมีข้อคำถาม การแลกเปลี่ยนและการสะท้อนปัญหาออกมาหลายประเด็น ตัวอย่างเช่นประเด็นเรื่องไฟป่า พบว่า การจัดการไฟป่าในพื้นที่ป่าสงวน ป่าชุมชน มีปัญหาด้านงบประมาณและกำลังคนที่ส่วนท้องถิ่นไม่สามารถสนับสนุนได้ หรือปัญหางบประมาณ และวัสดุ อุปกรณ์ใช้สอยที่ไม่เพียงพอ รวมถึงไม่ต่อเนื่องของหน่วยป้องกันฯ อีกทั้ง ปัญหางบประมาณในแต่ละหน่วยที่ไม่เท่ากัน
รวมถึงในเรื่ององค์ความรู้ อย่างประเด็นสัตว์ป่า ซึ่งขณะหารือคู่มือสำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่า ยังอยู่ระหว่างการจัดทำ ยังไม่ได้รับการอบรมองค์ความรู้เรื่องนี้ให้กับผู้บริหารท้องถิ่น ทำให้ อปท. ไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรมมากนัก
ผลการประชุม มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ข้อสรุปถึงบทบาทงานที่เตรียมดำเนินงานต่อไป มีกิจกรรมหลักๆ ประกอบด้วย การสนับสนุนการจัดพิมพ์คู่มือกระจายอำนาจ สนับสนุนการจัดประชุมเพื่อสร้างความเข้าใจในระดับพื้นที่ ทั้งประเด็นสัตว์ป่า และไฟป่า โดยเริ่มต้นในพื้นที่รอบๆ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นพื้นที่นำร่องก่อน
ซึ่งเรื่องนี้คาบเกี่ยวกับแผนงานที่ถูกวางมาตั้งแต่ปีก่อน ในเรื่องการจัดการป่ากันชนรอบๆ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่ได้ร่วมหารือกับชุมชนรอบๆ ป่า และเห็นควรกันว่า ควรมีเรื่องการหนุนเสริมการทำงานชุมชนในการปกป้อง ดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ โอกาสที่มีตอนนี้คือ บันทึกความร่วมมือการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น (อปท.) กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการแก้ปัญหาสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่ และการจัดการไฟป่า เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่นำมาสู่แผนงาน
ภาณุเดช ขยายความต่อว่า ในอนาคตจะมีการอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรที่เป็นเจ้าหน้าที่ของ อปท. ในการช่วยพนักงานเจ้าหน้าที่จัดการเรื่องสัตว์ป่าที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือสัตว์ป่าที่เข้ามารบกวนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ รวมถึงการเสริมศักยภาพคนที่อยู่ในชุมชน ให้เขาสามารถรับมือกับสถานการณ์หรือว่ารับมือกับเรื่องของสัตว์ป่าที่ออกมาใช้พื้นที่ด้านนอกได้
“เป้าหมายของเราก็คือ จะลดความขัดแย้ง แล้วทำให้เกิดความร่วมมือในการจัดการทรัพยากร โดยมี อปท. เข้ามาหนุนเสริม และประเด็นสำคัญอีกอย่าง เรามองว่าความร่วมมือเหล่านี้ จะทำให้คนในชุมชนเห็นถึงความสำคัญของปัญหา และเห็นความสำคัญในการที่ตัวเองได้มีบทบาทในการเข้ามาร่วมแก้ปัญหาตรงนี้ได้”
ด้วยความเชื่อว่าการบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองจะประสบผลสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่มีบทบาทและศักยภาพในการร่วมจัดการป่าอย่างจริงจัง
หมายเหตุ แผนงานเวทีกระจายอำนาจสู่ อปท. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการธรรมชาติปลอดภัย
อ้างอิง
ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม