การแยกขยะในชุมชน เพื่อเป้าหมายชุมชน Low Carbon

การแยกขยะในชุมชน เพื่อเป้าหมายชุมชน Low Carbon

คงไม่เกินเลยนักที่จะบอกว่า วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังสร้างบาดแผลให้กับสภาพแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ

ปรากฏการณ์น้ำท่วมฉับพลัน คลื่นความร้อน (ทำลายสิถิติทุกปี) ไฟป่า และภัยแล้ง ล้วนเป็นสัญญาณเตือน ก่อนนำพาไปสู่ฉากสะเทือนต่อทั้งความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพประชาชน และเศรษฐกิจโดยรวม

ดังที่ทราบว่า สาเหตุเรื่องนี้เกิดเพราะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าการใช้พลังงานฟอสซิล การเดินทาง ภาคอุตสาหกรรม หรือแม้แต่การจัดการขยะที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ

ทั้งหมดร้อยเรียงกระหน่ำซ้ำซัด และเป็นเหตุเป็นผลให้เราต่างต้องร่วมรับผิดชอบ หาหนทางแก้ไขไปพร้อมๆ กัน ในส่วนของภาครัฐจะออกนโยบายกำกับบังคับหรือสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างไร ดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม มีกำหนดกฎเกณฑ์ใดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด 

รวมถึง ‘ชุมชน’ ซึ่งเป็นรากฐานของสังคม และอาจเป็นจุดเริ่มที่ลงมือได้ง่าย และเร็วที่สุด อาศัยกลไกน้อยขั้นตอนก็ดำเนินการได้เลย

ที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นบทบาทของชุมชนในการแก้ไขปัญหากันมาบ้าง อย่างเรื่อง ‘ชุมชน Low Carbon’ หรือ ‘ชุมชนคาร์บอนต่ำ’ ซึ่งเป็นแนวคิดการพัฒนาชุมชนที่คำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากวัตรปฏิบัตรประจำวัน เช่น การใช้พลังงาน การเดินทาง การบริโภค จัดการขยะมูลฝอย และอื่นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น 

รายละเอียดการดำเนินงานก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ อาจเริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมคนในชุมชน ให้เกิดความตระหนักและมีส่วนร่วมในทุกระดับ เช่น การลดใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง การหันมาใช้พลังงานทดแทน และการจัดการขยะอย่างถูกต้อง

โดยเฉพาะเรื่องหลัง ถือเป็นวิธีพื้นฐานที่ใครๆ ก็สามารถลงมือทำได้ทันที แม้ดูง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นทางได้อย่างเข้าเป้า

ตรงกันข้ามกับการไม่แยก เมื่อขยะจำนวนมากไม่ถูกจัดการด้วยวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม ปลายทางสุดท้ายมักไม่พ้นถูกนำไปเผาหรือฝังกลบ 

วิธีการเหล่านี้ล้วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง ทั้งจากกระบวนการเผาที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง รวมถึงขั้นตอนการย่อยสลายที่ปล่อยก๊าซมีเทน 

แต่หากขยะได้รับการจัดการอย่างเป็นระเบียบ เช่น นำขยะอินทรีย์ไปทำปุ๋ย จะลดการเน่าเหม็นและการปล่อยมีเทน หรือขัดแยกขยะเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ก็ช่วยลดการใช้พลังงานกว่าการผลิตจากวัตถุดิบดั้งเดิม เป็นต้นว่าช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า ลดการขุดแร่เพิ่ม 

เพื่อภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างขยะที่พบบ่อยในชีวิตประจำวันอย่าง ขวดน้ำดื่มพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) หากเราสามารถแยกและส่งต่อไปรีไซเคิลอย่างถูกต้อง จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตามข้อมูลของ Wrap UK (องค์กรของสหราชอาณาจักรที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ) อธิบายว่า ขวดน้ำดื่มพลาสติก PET ขนาด 500-600 มิลลิลิตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 60-90 กรัมคาร์บอนฯ เทียบเท่า

แหล่งที่มาใหญ่ที่สุดของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นจากการผลิตวัตถุดิบ ซึ่งต้องใช้พลังงานสูงและมีผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเป็นส่วนประกอบหลัก

หากเราช่วยกันแยกขยะชนิดนี้ออกมา แล้วส่งไปรีไซเคิล ขวด PET (ขนาด  500-600 มิลลิลิตร) สารมารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 50-70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบเท่ากับการผลิตขวดใหม่จากวัตถุดิบตั้งต้น

หรือตัวเลขที่ชัดเจน คือ ประมาณ 40-60 กรัมคาร์บอนฯ เทียบเท่า เมื่อไม่ต้องผลิตใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรก 

อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่อ้างเป็นข้อมูลประมาณการ การคำนวณปริมาณก๊าซคาร์บอนฯ ในการกระบวนการผลิตและรีไซเคิลนั้นซับซ้อน ต้องใช้การประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment – LCA) ซึ่งพิจารณาทุกขั้นตอน ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การผลิต การใช้งาน การขนส่ง และการจัดการของเสีย

ที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการเป็น ‘ชุมชน Low Carbon’ ในเรื่องกลไกการทำงานยังมีองค์ประกอบอีกหลายด้าน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับเป้าหมาย 

ในกรณีการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการแยกขยะ อาจเริ่มตั้งแต่เรื่องการสร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้อง สร้างตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นส่วนหนึ่งในการลดคาร์บอนผ่านการคัดแยกขยะของชุมชน ต้องมีระบบการแยกขยะที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ตลอดจนมีมาตรการสนับสนุนและแรงจูงใจ

ที่สำคัญ คือการจัดการหลังการคัดแยกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อแน่ใจว่าขยะจะถูกส่งไปยังโรงงานรีไซเคิล เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้จริง รวมถึงเรื่องการติดตามประเมินผลก็ขาดมิได้เช่นกัน

การคัดแยกขยะที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในชุมชนเอง ซึ่งหากทุกองค์ประกอบทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ การขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเป็นชุมชนคาร์บอนต่ำก็คงไม่ใช่เรื่องไกลเกินไป

ในปี 2568 มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้จัดทำโครงการชุมชนแม่เปินคาร์บอนต่ำ (Mae Poen Low Carbon) ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลแม่เปิน อำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ และโรงเรียนอนุบาลแม่เปิน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินงานจากธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด และได้มีการทำบันทึกตกลงความร่วมมือทางการดำเนินโครงการไปเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 

สำหรับโครงการชุมชนแม่เปินคาร์บอนต่ำ (Mae Poen Low Carbon) เป็นการดำเนินงานบริหารการจัดการในรูปแบบของ ‘ธนาคารขยะ’ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง มีวัตถุประสงค์โครงการ 3 ข้อ ประกอบด้วย

(1) เพื่อส่งเสริมให้โรงเรียนอนุบาลแม่เปิน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแม่เปิน มีความรู้และความเข้าใจในการดำเนินกิจกรรมธนาคารขยะ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และกิจกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 

(2) เพื่อเข้าสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งโรงเรียน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

(3) เพื่อส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนชุมชนต้นแบบการจัดการขยะเหลือศูนย์ ให้พัฒนาเป็นชุมชนคาร์บอนต่ำไปสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะทำงาน มูลนิธิสืบนาคะเสถียร องค์การบริหารส่วนตำบลแม่เปิน และโรงเรียนอนุบาลแม่เปิน ได้จัดประชุมหารือถึงหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนธนาคารขยะ รวมถึงแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารธนาคารขยะและคณะทำงานธนาคารขยะโรงเรียนอนุบาลแม่เปิน เพื่อบริหารโครงสร้างของธนาคารขยะ ที่เตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มดำเนินการในเร็ววัน 

อ้างอิง

ผู้เขียน

Website | + posts

ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม