อี. โอ. วิลสัน (E. O. Wilson) นักกีฎวิทยาผู้โด่งดังประจำมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เคยกล่าวถึงการสูญพันธุ์แมลงไว้ว่า
“มนุษย์จะมีชีวิตรอดอยู่ไม่กี่เดือน หลังจากนั้นไม่นาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็จะค่อยๆ สูญพันธุ์ ตามมาด้วยพืชดอก พื้นผิวโลกจะถูกทับถมด้วยซากพืชซากสัตว์ที่ไม่ยอมย่อยสลาย พวกเห็ดราอาจเติบโตอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ แต่ไม่นาน พวกมันก็จะตายตามไป”
“โลกจะกลับไปสู่สภาพที่เคยเป็นเมื่อ 440 ล้านปีก่อน ที่บนพื้นดินจะมีแต่สิ่งมีชีวิตที่ยังคงเป็นกลุ่มก้อนของเซลล์ เช่น ฟองน้ำ หรือมอส รอเวลาที่กุ้งผู้กล้าจะมาเสี่ยงโชคบนแผ่นดิน”
แม้มันดูเหมือนเหตุการณ์ที่ตัดฉากออกมาจากภาพยนตร์แนวไซไฟ แต่ปฏิเสธมิได้ว่าสิ่งที่วิลสันเคยกล่าวไว้มีมูลเหตุตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่แสดงถึงสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนของแมลงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายทางชีวภาพบนโลกนี้
เมื่อแมลงทยอยลดลงจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?
มีงานวิจัยหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่า พืชที่ให้วิตามินและแร่ธาตุส่วนใหญ่แก่เรา ผลไม้ ผัก และถั่ว ล้วนต้องพึ่งพาแมลงผสมเกสรและสิ่งมีชีวิตในดินที่คอยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของพืชผล ในการศึกษาหนึ่งประมาณการว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ของพืชผลอาหารต้องพึ่งพาแมลงผสมเกสร
ศาสตราจารย์ไซมอน พอตส์ (Simon Potts) จากมหาวิทยาลัยเรดดิง หนึ่งในผู้ศึกษา อธิบายว่า หากการผสมเกสรน้อยลง ผลผลิตจะน้อยลงตาม และไม่เพียงแต่ผลผลิตหรือน้ำหนักที่ลดลงเท่านั้น คุณภาพของผลผลิตก็จะลดลงด้วย สตรอว์เบอร์รีจะเสียรูปทรงและจะไม่มีรสหวานเหมือนเก่าก่อน
ในการตรวจสอบฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จาก 48 ประเทศ ศึกษาพืชผล 48 ชนิด พบว่าผลไม้ที่ได้รับการผสมเกสรโดยสัตว์และแมลงมีคุณภาพดีกว่าผลไม้ที่ไม่ได้ถูกผสมเกสรโดยสัตว์โดยเฉลี่ยร้อยละ 23 โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้รูปร่าง ขนาด และอายุการเก็บรักษา
หรือในด้านตรงกันข้าม มีงานเรื่อง Pollinator Deficits, Food Consumption, and Consequences for Human Health: A Modeling Study พบว่า ทั่วโลกสูญเสียผลผลิตผัก ผลไม้ และถั่วไประหว่าง 3-5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการผสมเกสรที่ไม่เพียงพอ
แม้ตัวเลขจะดูไม่สูงนัก แต่ผลที่ตามมาทำให้มีผู้เสียชีวิตเกินคาดประมาณ 420,000 รายต่อปีจากการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ลดลงและโรคต่างๆ ที่เกิดจากการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพน้อยลง
แมทธิว สมิธ (Matthew Smith) หัวหน้าคณะนักวิจัยเรื่องดังกล่าว และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม ขยายความเรื่องนี้ว่า “หากจะเปรียบเทียบตัวเลขนี้ จะเห็นว่าเทียบเท่ากับจำนวนคนที่เสียชีวิตจากความผิดปกติจากการใช้สารเสพติด ความรุนแรงระหว่างบุคคล หรือมะเร็งต่อมลูกหมากในแต่ละปี”
นอกจากนี้ ความขาดหลากหลายทางชีวภาพของแมลงยังส่งผลต่อคุณภาพของน้ำและดิน
ในด้านของน้ำ แมลงผสมเกสรช่วยให้น้ำสะอาดและรักษาสุขอนามัยที่ดี เนื่องจากระบบนิเวศพืชที่แข็งแรงช่วยรักษาความสะอาดของแหล่งน้ำ
ป่าชายเลนเองก็ได้รับประโยชน์จากการผสมเกสรของสัตว์ในการช่วยกรองมลพิษ ดูดซับน้ำไหลบ่า และส่งเสริมการตกตะกอน ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำ
รายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เรื่อง Biodiversity improves water quality through niche partitioning แสดงให้เห็นว่าถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดสามารถลดมลพิษได้เร็วขึ้น ผ่านการช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำ
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าสัตว์ป่าในระบบนิเวศน้ำจืดกำลังสูญหายไปในอัตราสองเท่าของการสูญเสียในมหาสมุทรและป่าไม้ มีเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำในยุโรปเท่านั้นที่จัดว่ามีสุขภาพดีทางระบบนิเวศ
สำหรับดิน เมื่อยามเกิดภัยแล้ง เรามักนึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นเหนือพื้นดิน เช่น พืชเหี่ยวเฉา ทะเลสาบแห้งเหือด ผู้คนหรือสัตว์ป่าอพยพย้ายไปสู่ถิ่นที่อุดมสมบูรณ์กว่า
แต่เบื้องล่างใต้ผืนพิภพนั้น ยังมีวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นคู่ขนาน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบโดยตรงต่อพืชผล เช่น ความเครียดจากความร้อน แต่ยังผลกระทบทางอ้อมยังส่งผลกระทบต่อประชากรแมลงและลดความหลากหลายทางชีวภาพของดิน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่ง
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications แสดงให้เห็นว่าจุลินทรีย์ในดินไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิดไว้ในช่วงภัยแล้ง อันนำมไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีววิทยาของพวกมัน
ศาสตราจารย์ฟรานซิสกา เดอ ฟรีส์ (Franciska de Vries) จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม หัวหน้าคณะนักวิจัย กล่าวว่า ผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์รุนแรง เช่น ภัยแล้ง คลื่นความร้อน และพายุ ส่งผลต่อพืชอย่างแน่นอน แต่หากเกิดเหตุสภาพอากาศรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเสียหายจะสะเทือนไปถึงความหลากหลายทางชีวภาพของดินให้ลดหายไป
เปรียบเสมือนหายนะสองต่อสอง ในแง่หนึ่งสภาพอากาศทำให้แมลงลดจำนวนลง และเมื่อแมลงลดลงก็คุณภาพดินก็ลดลงตาม
ข้อมูลของสหประชาชาติระบุว่า ปัจจุบันมีที่ดินมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ถูกจัดอยู่ในประเภทเสื่อมโทรม โดยครึ่งหนึ่งของประชากรโลกกำลังได้รับผลกระทบจากภาวะดินเสื่อมโทรม ไร้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ ขาดน้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพหายไป ต้นไม้หรือพืชพื้นเมืองลดลง ในสภาวะเช่นนี้ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มีแนวโน้มกระจายเป็นวงกว้าง เพราะระบบดินอ่อนแอลงและสิ่งมีชีวิตบางชนิดในดินถูกทำลายไป
“หากคุณมีดินที่มีสุขภาพดีและมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถช่วยเหลือพืชได้ คุณก็จะบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้นได้ในระดับหนึ่ง”
แม้เราสามารถคาดถึงผลกระทบได้แล้ว แต่ดูเหมือนสถานการณ์ยังดำเนินไปในทางลบ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา (11 ตุลาคม) สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ IUCN เผยรายงานฉบับใหม่ ระบุถึงความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของแมลงในยุโรป โดยมีผึ้งอย่างน้อย 172 ชนิด จากทั้งหมด 1,928 ชนิด มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในยุโรป ขณะเดียวกันจำนวนผีเสื้อที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 37 เป็น 65 ตัว นับตั้งแต่การศึกษาครั้งล่าสุดเมื่อ 14 ปีก่อน
เกรเทล อากีลาร์ (Grethel Aguilar) ผู้อำนวยการใหญ่ของ IUCN กล่าวว่า นอกเหนือจากความสวยงามและความสำคัญทางวัฒนธรรมแล้ว แมลงผสมเกสรอย่างผึ้งและผีเสื้อยังเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของสุขภาพ ระบบอาหาร และเศรษฐกิจของเรา คอยหล่อเลี้ยงผลไม้ ผัก และเมล็ดพันธุ์ที่หล่อเลี้ยงเรา
“การประเมินบัญชีแดงยุโรปครั้งล่าสุดเผยให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญ โดยมีภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้นต่อผีเสื้อและผึ้งป่าสายพันธุ์สำคัญ” ผู้อำนวยการใหญ่ของ IUCN กล่าว
โดยสาเหตุของการลดลงอย่างรวดเร็ว เกิดขึ้นจากการทำลายหรือความเสียหายอย่างต่อเนื่องของถิ่นที่อยู่อาศัย อันเนื่องมาจากการทำเกษตรกรรมแบบเข้มข้น การระบายน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ การเลี้ยงปศุสัตว์มากเกินไป และการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง รวมถึงสารนีโอนิโคตินอยด์ (กลุ่มของยาฆ่าแมลงที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทซึ่งมีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายกับนิโคติน) การแบ่งแยกถิ่นที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อแมลงผสมเกสร เหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างมาก
นอกจากนี้ วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นภัยคุกคามสำคัญ โดยผีเสื้อที่ใกล้สูญพันธุ์ในยุโรปร้อยละ 52 ตกอยู่ในอันตรายจากวิกฤตดังกล่าว ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นประมาณสองเท่าเมื่อเทียบกับทศวรรษที่แล้ว
นับจากเรื่องการสูญพันธุ์ของแมลงเป็นที่ประจักษ์ยอมรับกันในทางวิทยาศาสตร์ และมีเสียงเรียกให้ตระหนักถึงความสูญพันธุ์ แต่เรื่องดังกล่าวยังถูกละเลยราวกับเป็น ‘ฤดูใบไม้ผลิอันแสนเงียบงัน’ แล้วเพราะอะไรมันถึงเป็นเช่นนั้น
ศาสตราจารย์ไซมอน พอตส์ ตั้งข้อสังเกตในประเด็นนี้ว่า การตระหนักถึงวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพในปัจจุบันยังคงล้าหลังกว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เขากล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าปัญหาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพคือการพูดถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อ 20 ปีก่อน” พอตส์กล่าว
“ผมคิดว่าจนกว่าสาธารณชนจะยอมรับความจริงคงเป็นเวลาที่ ‘ชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว’ ผมไม่คิดว่าการวิจัยเพียงอย่างเดียวจะสามารถโน้มน้าวใจผู้คนได้ ลองดูเรื่องราวของสภาพภูมิอากาศสิ”
แกรี แมนเทิล (Gary Mantle) ผู้อำนวยการ Wilshire Wildlife Trust กล่าวว่า การสูญพันธุ์ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นควรจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนก เรากำลังทำให้หนึ่งในรากฐานสำคัญในการดำรงชีพของเราเผชิญกับความเสี่ยง แต่แมลงและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหากเราหยุดฆ่าพวกมันและฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยซึ่งพวกมันจำเป็นต้องใช้ในการขยายพันธุ์
“เราจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างในตอนนี้ ในสวนของเรา สวนสาธารณะ และแปลงเกษตร”
อ้างอิงและเรียบเรียงจาก
- ‘A different dimension of loss’: the entomologists confronting the great insect die-off
- Food, soil, water: how the extinction of insects would transform our planet
- Pollinator Deficits, Food Consumption, and Consequences for Human Health: A Modeling Study
- Mounting risks threaten survival of wild European pollinators – IUCN Red List
- ‘Insect apocalypse’ poses risk to all life on Earth, conservationists warn
ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม