แนวคิดเปิดให้ภาคเอกชนหรือองค์กรภายนอกเข้ามาร่วมจัดการบริการในอุทยานแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแล้วในอดีต โดยเฉพาะในประเด็น “โซนบริการ” ซึ่งมีเป้าหมายรองรับนักท่องเที่ยวและลดภาระของรัฐ ทุกครั้งที่แนวคิดนี้ถูกนำกลับมาพูดถึง มักตามมาด้วยข้อกังวลจากภาคอนุรักษ์และสังคมในวงกว้าง ถึงความชัดเจนของขอบเขตพื้นที่ กติกาการอนุญาต และผลกระทบต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ หากการพัฒนาเชิงบริการขยายตัวเกินความจำเป็น
ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องการจัดบริการท่องเที่ยว แต่เป็นคำถามสำคัญว่า อุทยานแห่งชาติควรถูกบริหารจัดการอย่างไรให้ยังคงยึดหลักการอนุรักษ์เป็นหัวใจหลัก ควบคู่ไปกับการเข้าถึงของประชาชนอย่างเหมาะสม
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2568 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (DNP) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่วมกับ 27 ภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยว เฉพาะใน “โซนบริการ” ของอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กรมมองว่าเหมาะสมสำหรับจัดการบริการพื้นฐานให้แก่นักท่องเที่ยว
ในที่ประชุม อธิบดีกรมอุทยานฯ ระบุว่าหนึ่งในปัญหาคือ ข้อจำกัดด้านกฎหมายและงบประมาณ ทำให้การบริการต้องใช้บุคลากรของกรมเอง ซึ่งอาจลดความสำคัญของภารกิจอนุรักษ์ จึงมี แนวคิดเปิดให้ภาคส่วนอื่นเข้ามาร่วมดำเนินงานบริการ เช่น ร้านค้า ร้านกาแฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาที่ชัดเจน พร้อมย้ำว่าการดำเนินการจะจำกัดอยู่เฉพาะโซนบริการ และต้องไม่กระทบพื้นที่อนุรักษ์
กรมระบุว่าจะนำข้อเสนอจากการประชุมไปจัดทำแนวทาง/ข้อเสนอเชิงนโยบาย ก่อนเสนอให้คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
ที่ผ่านมามูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เผยแพร่บทความ “สาส์นสืบ – เปิดป่าค้าสัตว์” ซึ่งตั้งข้อกังวลต่อการให้ภาคเอกชนเข้ามาทำกิจกรรม/บริการในเขตบริการของอุทยานแห่งชาติในบริบทของร่างกฎหมายฉบับก่อนหน้านี้ โดยระบุว่ามาตราที่เปิดช่องให้อนุญาตสิ่งอำนวยความสะดวกให้เอกชนถึง 30 ปี หากไม่มีการกำหนดขอบเขตพื้นที่และจำนวนรายให้ชัด อาจเสี่ยงต่อการกระทบต่อธรรมชาติและระบบนิเวศโดยรวม และควรพิจารณาปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ให้ดีขึ้นก่อนการสร้างสิ่งใหม่เพิ่มขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์
นอกจากนี้ ใน ปี 2566 มูลนิธิสืบนาคะเสถียรเคยออกมาแสดงจุดยืน คัดค้านนโยบายการเพิกถอนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ออกจากเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ในบางพื้นที่ ซึ่งถูกเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินและการใช้ประโยชน์พื้นที่ โดยมูลนิธิสืบฯ เห็นว่านโยบายดังกล่าวอาจขัดกับภารกิจหลักด้านการอนุรักษ์ และเสี่ยงต่อการเปิดช่องให้พื้นที่ป่าถูกใช้ประโยชน์ในลักษณะที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศในระยะยาว
ความเคลื่อนไหวของกรมอุทยานฯ เกิดขึ้นท่ามกลางการถกเถียงในสังคมว่า ควรเปิดพื้นที่โซนบริการของอุทยานแห่งชาติให้รองรับกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจมากน้อยเพียงใด ฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่าจะช่วยแก้ปัญหางบประมาณและยกระดับบริการนักท่องเที่ยว ขณะที่ฝ่ายกังวลเกรงว่าหากกฎหมายและมาตรการควบคุมยังไม่ชัดเจน การพัฒนาอาจเพิ่มแรงกดดันต่อธรรมชาติและเกินขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวล คือความเป็นไปได้ในการนำข้อ 67 ตามระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติฯ ที่ระบุไว้ว่า
ผู้ใดประสงค์จะขออนุญาตทำกระการเพื่อท่องเที่ยวที่เป็นประโยชน์นอกจากประเภทที่กำหนดไว้ในข้อ 66 ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบที่อธิบดีกำหนด อธิบดีอาจแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาคำขออนุญาตและเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาอนุญาต โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ มาใช้เป็นกลไกสำหรับการอนุญาตให้เอกชนดำเนินกิจกรรม/กิจการเชิงพาณิชย์ ซึ่งแตกต่างจากเจตนารมณ์ของข้อ 66 ที่มุ่งควบคุมกิจกรรมเป็นรายประเภทอย่างชัดเจน
แต่ทั้งนี้ ความชัดเจนในการกำหนดขอบเขตและหลักเกณฑ์การใช้ข้อ 67 จึงเป็นประเด็นสำคัญที่สังคมต้องติดตาม



