‘ทากทะเลสีน้ำเงิน’ กรมทะเลเตือน ห้ามสัมผัสโดยเด็ดขาด คาดพิษร้ายแรงมาจากอาหารที่กินเข้าไป

‘ทากทะเลสีน้ำเงิน’ กรมทะเลเตือน ห้ามสัมผัสโดยเด็ดขาด คาดพิษร้ายแรงมาจากอาหารที่กินเข้าไป

แม้จะดูตัวเล็กตัวน้อย แต่พิษไม่น้อยตามขนาดตัว

จากการพบเห็น ‘ทากทะเลสีน้ำเงิน’ ที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาบริเวณหาดกะรน จังหวัดภูเก็ต ในช่วงที่ผ่านมานั้น เกร็ดความรู้ในสัปดาห์นี้แอดมินชวนทำความรู้จักกับสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่คล้ายมังกรตัวจิ๋ว แต่แฝงไปด้วยพิษร้ายที่ต้องระวัง

ทากทะเลสีน้ำเงิน หรือที่รู้จักกันในชื่อ Blue Dragon ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Glaucus atlanticus เป็นสัตว์ทะเลขนาดเล็ก จัดอยู่ในกลุ่มทากเปลือย (Sea slug) ในไฟลัม Mollusca สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่ง และอาศัยอยู่ในทะเลบริเวณกลางน้ำ

ลักษณะและพฤติกรรม

ทากทะเลสีน้ำเงินมีขนาดเล็กประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร แต่มีรูปร่างโดดเด่นคล้ายมังกร มีปีกคล้ายครีบ ลำตัวสีน้ำเงินสดใสที่ส่วนท้องและสีเงินหรือขาวที่ส่วนหลัง

ทากทะเลสีน้ำเงินมีพฤติกรรมการพรางตัวโดยการลอยหงายให้ส่วนท้องที่มีสีน้ำเงินชี้ขึ้นฟ้า ทำให้สีน้ำเงินกลืนไปกับสีน้ำทะเล เพื่อพรางตัวจากนักล่าที่อยู่ด้านบน และส่วนหลังสีขาวหรือสีเงินคว่ำลง ทำให้สีตัวกลืนไปกับผิวน้ำ เพื่อพรางตัวจากนักล่าที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งส่วนใหญ่สามารถพบลักษณะหรือพฤติกรรมเช่นนี้ได้ในสัตว์ทะเล

ถิ่นอาศัย

ทากทะเลสีน้ำเงินเป็นสัตว์ที่ลอยตัวอยู่ใกล้บริเวณผิวน้ำในมหาสมุทรเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน อาทิ ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และยุโรป รวมถึงทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทากทะเลสีน้ำเงินจะลอยไปตามกระแสลมและคลื่นน้ำ ซึ่งบางครั้งก็ถูกพัดพาเข้ามาใกล้ชายฝั่งได้ โดยเฉพาะช่วงที่มีคลื่นลมแรง ล่าสุดประเทศไทยมีรายงานการพบเห็นที่หาดกะรน จังหวัดภูเก็ต ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

อาหารและพิษ

ความน่าสนใจอีกอย่าง คือทากทะเลสีน้ำเงินไม่มีเข็มพิษในตัวเอง แต่เป็นนักล่าที่ ‘สะสมเข็มพิษจากอาหารที่กินเข้าไป’ ซึ่งจะกินสิ่งมีชีวิตที่มีพิษเป็นอาหารหลัก โดยเฉพาะแมงกะพรุนหัวขวด (Bluebottle Jellyfish) ชนิด Physalia sp. โดยสถิติมักพบแมงกะพรุนกลุ่มนี้หลังจากการพบเจอทากทะเลสีน้ำเงิน รวมถึงแมงกะพรุนกะลาสี (Velella velella) และแมงกะพรุนแว่นตาพระอินทร์ (Porpita porpita) ซึ่งเป็นอาหารหลักของทากทะเลสีน้ำเงิน

ทากทะเลสีน้ำเงินจะเก็บสะสมเข็มพิษ (Nematocyst) ของเหยื่อไว้ที่อวัยวะพิเศษ (Cerate) เพื่อใช้ในการป้องกันตัวจากศัตรู หากเราเผลอไปสัมผัส ทากทะเลสีน้ำเงินก็จะปล่อยพิษที่เก็บสะสมไว้ออกมา ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง อาจเกิดแผลพุพอง คลื่นไส้ อาเจียน และปวดศีรษะได้ ในกรณีที่แพ้รุนแรงหรือได้รับพิษในปริมาณมาก อาจส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและระบบประสาท และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น ห้ามสัมผัสโดยเด็ดขาด!

การสืบพันธุ์

ทากทะเลสีน้ำเงิน เป็นสัตว์ที่มีอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในตัว แต่ก็ไม่สามารถผสมพันธุ์ตัวเองได้ ต้องอาศัยการจับคู่กับทากทะเลตัวผู้ในการสืบพันธุ์ ทากทะเลสีน้ำเงินได้มีการวิวัฒนาการให้อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ให้มีรูปร่างคล้ายตะขอ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการถูกเข็มพิษของคู่ผสมพันธุ์

หลังจากที่เกิดการการปฏิสนธิ ทากทะเลสีน้ำเงินทั้งสองตัวจะปล่อยสายไข่ออกมา โดยแต่ละสายจะมีไข่ประมาณ 12 ถึง 20 ฟอง ทากทะเลสีน้ำเงินสามารถวางไข่ได้เฉลี่ย 55 สายต่อชั่วโมง ไข่ของทากทะเลสีน้ำเงินบางส่วนจะลอยอยู่บนผิวน้ำ ในขณะที่บางส่วนจะยึดติดกับพื้นผิวต่าง ๆ รวมถึงซากของเหยื่อที่กินเข้าไปด้วย

ไข่ทั้งหมดที่ถูกฟักออกมาเป็นตัวอ่อนจะถูกเรียกว่า เวลิเจอร์ (veligers) หรือคำที่คนเรียกทั่วไปว่า blue fleet (ฝูงมังกรสีน้ำเงิน) และทากทะเลสีน้ำเงินกลุ่มนี้จะมีอายุขัยโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี

ข้อควรปฏิบัติหากพบทากทะเลสีน้ำเงิน

ห้ามสัมผัสโดยเด็ดขาด! ไม่ว่าจะด้วยมือเปล่าหรืออวัยวะส่วนใดก็ตาม เพราะแม้ตัวจะตายแล้วแต่พิษก็ยังคงสะสมอยู่ร่างกาย และหากไปสัมผัสโดยบังเอิญแนะนำให้ใช้น้ำส้มสายชูเช่นเดียวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับสัมผัสแมงกะพรุนพิษ และพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

หากพบเห็นทากทะเลสีน้ำเงิน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเข้าดำเนินการอย่างถูกวิธี

หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในบริเวณที่พบทากทะเลสีน้ำเงินเป็นจำนวนมาก

อ้างอิง

ผู้เขียน

+ posts

สาวแว่นทาสแมวที่ชอบบอกเล่าเรื่องราวผ่านลายเส้น มีธรรมชาติช่วยฮีลใจ และหลงใหลในพระจันทร์เสี้ยว