วิถีการอยู่กับป่ายั่งยืน คือยารักษาและเกราะป้องกันของมนุษย์จากโรคภัย

วิถีการอยู่กับป่ายั่งยืน คือยารักษาและเกราะป้องกันของมนุษย์จากโรคภัย

ความสัมพันธ์ระหว่างป่ากับสุขภาพของมนุษย์เป็นประเด็นหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงมากในปัจจุบัน และหาได้เป็นการใช้ประโยชน์โดยตรงจากการเก็บหาพืชหรือสมุนไพรมารักษาโรคเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงประโยชนทางอ้อมที่เกิดจากการดูแลรักษาระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์

งานวิจัยล่าสุดจากลุ่มน้ำแอมะซอนชี้ชัดว่า พื้นที่ป่าที่อยู่ในการดูแลของชนพื้นเมืองช่วยลดการแพร่กระจายของโรคภัยได้ถึง 27 โรค ได้แก่ โรคที่เกี่ยวข้องกับไฟป่า 21 โรค และโรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน (โรคที่แพร่กระจายจากสัตว์สู่คน) หรือโรคที่แพร่กระจายจากแมลงสู่คน (โรคที่แพร่กระจายจากแมลงสู่คน) 6 โรค เช่น มาลาเรีย ไข้เลือดออก รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

สิ่งที่ทำให้พื้นที่ของชนพื้นเมืองมีความแตกต่างจากพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกหรือถูกจัดการในเชิงพาณิชย์ ตลอดจนโครงการพัฒนาของรัฐ เกิดขึ้นจากวิถีการอยู่ร่วมและดูแลป่าที่ยั่งยืน และเคารพความสมดุลของธรรมชาติ ชนพื้นเมืองมีแนวทางจัดการป่าที่ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้ได้

โดยในงานวิจัยเรื่อง Indigenous Territories can safeguard human health depending on the landscape structure and legal status ได้วิเคราะห์ข้อมูลหลายปีและครอบคลุมหลายประเทศในลุ่มน้ำแอมะซอน พบว่าพื้นที่ป่าที่ยังคงความสมบูรณ์และมีความเชื่อมต่อกันเป็นผืนใหญ่สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคในชุมชนโดยรอบได้อย่างชัดเจน

สวนทางกับพื้นที่ที่ป่าถูกทำลาย หรืออยู่กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ จะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้อยู่อาศัยสูง

ตัวอย่างเช่น การถางป่าเพื่อทำเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์มักสร้างแหล่งน้ำตื้นที่เหมาะแก่การเพาะพันธุ์ยุงก้นปล่อง ทำให้ความเสี่ยงต่อมาลาเรียและไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น ขณะที่การบุกรุกป่ายังทำให้มนุษย์สัมผัสสัตว์ป่าหรือสัตว์ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น รวมถึงไฟป่าที่เกิดจากการเผาป่า เพิ่มฝุ่นละอองและควันพิษ ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจ

จากสถานการณ์ในระหว่างปี 2001-2019 มีผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับไฟป่าทั้งหมด 22,821,426 ราย และโรคที่เกิดจากสัตว์พาหะ 5,607,996 ราย รวมเป็น 28,429,422 ราย คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 556.96 รายต่อประชากร 100,000 คน

นักวิชาการหลายคนเห็นตรงกันว่าพื้นที่ป่าของชนพื้นเมืองไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งอนุรักษ์ระบบนิเวศและสัตว์ป่า แต่ยังเป็น ‘เกราะป้องกันโรค’ ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน การลงทุนในการปกป้องพื้นที่เหล่านี้จึงเท่ากับการลงทุนด้านสาธารณสุขที่ต้นทุนน้อยแต่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน

โดยย้ำว่า สุขภาพที่ดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพื้นที่ป่าโดยรอบยังคงสมบูรณ์ และสิ่งสำคัญควรให้ผืนป่าที่ดูแลโดยชนพื้นเมืองได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย หากสถานะทางกฎหมายไม่มั่นคง ประโยชน์ทางสุขภาพและการป้องกันโรคอาจลดลง จากถูกบุกรุกโดยกิจกรรมเชิงพาณิชย์

แต่หากเกิดการยอมรับและคุ้มครองสิทธิจะช่วยให้พวกเขาสามารถจัดการป่าได้ตามแนวทางท้องถิ่นที่สอดคล้องกับธรรมชาติและวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อ้างอิง

ผู้เขียน

Website | + posts

ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม