ควายป่า ในผืนป่าไทย มีรายงานพบเพียงแห่งเดียว คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แถบริมลำห้วยขาแข้ง ทางตอนใต้ของผืนป่า มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยอย่างยิ่ง

ควายป่า
Wild Water Buffalo
Bubalus arnee
ลักษณะ
ควายป่า หรือมหิงสา (Wild Water Buffalo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ดูผิวเผินแล้วมีความคล้ายคลึงกับควายบ้าน แต่ควายป่านั้นมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่า โดยเมื่อโตเต็มวัยจะมีความสูงที่ประมาณ 2 เมตร หนักได้ถึง 800-1,200 กิโลกรัมในขณะที่ควายบ้านมักหนักไม่ถึง 500 กิโลกรัม ลำตัวยาว 2.4-3 เมตร แข็งแรง มีวงเขากว้าง สีลำตัวดำ หรือเทาเข้ม ขาทั้งสี่สีขาวหรือสีเทาเหมือนใส่ถุงเท้า ที่หน้าอกมีเสี้ยวแบบพระจันทร์เสี้ยวสีขาวเหมือนใส่สร้อยคอ
ควายป่าชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ออกหากินทั้งเวลากลางวันและกลางคืน กินหญ้า ยอดไม้ ใบอ่อน และหน่อไม้ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะการใช้ชีวิตที่ต้องการปัจจัยทางนิเวศหลักๆ ได้แก่ แหล่งที่ราบน้ำท่วมถึง หนองน้ำ และป่าริมน้ำที่เป็นแหล่งพืชอาหาร
ควายป่าเป็นสัตว์กินพืช กินได้ทั้งหญ้า ยอดไม้ ใบไม้อ่อน หน่อไม้ รวมถึงต้นพงที่ขึ้นอยู่ตามริมลำห้วยขาแข้ง ก็เป็นเมนูโปรดของควายป่าเช่นกัน และยังมีการเสริมแร่ธาตุให้กับร่างกาย โดยการกินดินโปร่งที่มีแร่ธาตุต่างๆ ในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน และช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
ควายป่าในอดีต
การกระจายพันธุ์ของควายป่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าควายป่ามีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะกระจายพันธุ์ไปทั่วภูมิภาคเอเชีย ในช่วงยุคน้ำแข็ง ระดับน้ำทะเลลดลงอย่างมาก ทำให้ควายป่าสามารถกระจายพันธุ์ได้ไกลขึ้น ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงอินเดียและจีน
ตัวอย่างฟอสซิลควายป่าที่พบในหลายพื้นที่ของประเทศไทย สนับสนุนสมมติฐานดังกล่าว เช่น ฟอสซิลที่พบในลุ่มเจ้าพระยา ลุ่มน้ำปิง-น่าน ถ้ำวิมานนาคินทร์ และลุ่มน้ำมูล โคกสูง พิมาย จากงานวิจัยพบว่าฟอสซิลเหล่านี้มีอายุตั้งแต่ล้านปีไปจนถึงไม่กี่พันปีก่อน ชี้ให้เห็นว่าควายป่ามีวิวัฒนาการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานแล้ว
จุดกำเนิดของควายป่าในอินเดีย อ้างอิงจากฟอสซิลควายป่าในสกุล Bubalus ที่พบในลุ่มแม่น้ำคงคาและลุ่มแม่น้ำยมนา มีอายุประมาณ 10 ล้านปี จากฟอสซิลเหล่านี้สันนิษฐานได้ว่าควายป่าอาจมีวิวัฒนาการในอินเดียมาก่อน และต่อมาจึงได้กระจายพันธุ์ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสรุปได้ว่าควายป่ามีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนจะกระจายพันธุ์ไปทั่วภูมิภาคเอเชีย และควายป่าในประเทศไทยยังเคยพบได้ทั่วไปในหลายพื้นที่
ควายป่ากับป่าห้วยขาแข้ง
เดิมทีเคยเชื่อกันว่า ควายป่าได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้ว โดยนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล เขียนไว้ในนิตยสารนิยมไพร เมื่อปี 2501 ว่า “ควายป่าตัวสุดท้ายอาจจะถูกยิงที่อำเภอวิเชียร จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อปี 2451”
อย่างไรก็ตาม ในปี 2508 ได้มีการสำรวจพบควายป่าที่ป่าห้วยขาแข้ง และต่อมาในปี พ.ศ. 2513 คณะสำรวจกรมป่าไม้นำโดยคุณผ่อง เล่งอี้ พร้อมทั้งช่างภาพชื่อคุณชวลิต เนตรเพ็ญ เข้าสำรวจและสามารถถ่ายภาพยนตร์ควายป่าทั้งฝูงรวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ ทั้งฝูงวัวแดง นกยูง กวาง นำมาฉายให้คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าดู
ตัวคุณผ่องเคยกล่าวว่า “…ตื่นเต้นมากที่เห็นฝูงควายป่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ตัวของมันใหญ่มาก เวลามันวิ่งแผ่นดินสะเทือน…”

จำนวนประชากรปัจจุบัน
ในการประชุมเรื่องแนวทางการฟื้นฟูประชากรควายป่าและถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ได้นำเสนอข้อมูลโครงการสำรวจการกระจายตัวของควายป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยสำรวจพื้นที่ตั้งแต่ห้วยไอ้เยาะ-เขาบันไดบนจนถึงบริเวณโป่งขาม-กรึงไกร
โดยสำรวจพบควายป่า ประมาณ 44 – 64 ตัว โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ 5 กลุ่ม กระจายตัวอยู่ทั่วพื้นที่ แต่มีความหนาแน่นสูงบริเวณตอนใต้ของพื้นที่ห้วยขาแข้ง บริเวณนี้เป็นแหล่งอาหารและแหล่งน้ำที่สำคัญสำหรับควายป่า เช่น ไผ่ หญ้า และโป่งน้ำ ส่วนบริเวณตอนเหนือของพื้นที่ห้วยขาแข้งเป็นพื้นที่ที่มีความสูงชัน พบควายป่ากระจายตัวอยู่บริเวณนี้บ้าง แต่ไม่หนาแน่นเท่าบริเวณตอนใต้
และยังพบการเคลื่อนที่ไปมาระหว่างกลุ่มย่อยต่างๆ ตามแหล่งอาหารและแหล่งน้ำ เช่น ในช่วงฤดูฝน ควายป่าอาจอพยพขึ้นไปหาแหล่งอาหารและแหล่งน้ำบนภูเขา ในขณะที่ในช่วงฤดูร้อน ควายป่าอาจอพยพลงมาหาแหล่งอาหารและแหล่งน้ำในบริเวณที่ราบลุ่ม
โดยควายป่าในพื้นที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีตัวใดมีสีซีดผิดปกติหรือมีลักษณะผิดปกติที่ชัดเจน ซึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของควายป่า คือ คุณภาพของอาหาร ปริมาณของอาหาร คุณภาพของน้ำ ความปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ

ปัจจัยภัยคุกคาม
ควายป่า ในประเทศไทยมีสถานภาพเป็น ‘สัตว์ป่าสงวน’ ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และอนุสัญญา CITES จัดควายป่าไว้ใน Appendix III และจากการประเมินอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) ตามบัญชี IUCN Red List ซึ่งคาดว่าทั่วโลกมีประชากรควายป่าเหลืออยู่ไม่ถึง 4,000 ตัว
สำหรับควายป่า ประชากรกลุ่มสุดท้ายของไทยในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ โดยมีสาเหตุจากปัจจัยคุกคามดังต่อไปนี้
1) พืชต่างถิ่นเข้ามารุกรานพืชท้องถิ่นในพื้นที่หากินของควายป่า เช่น ไมยราบยักษ์ ที่แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วทำให้พืชท้องถิ่นซึ่งเป็นอาหารของควายป่ามีจำนวนน้อยลง นำไปสู่ปัญหาแหล่งที่อยู่อาศัยอันเหมาะสมได้เปลี่ยนแปลงไปและพื้นที่หากินของควายป่าคับแคบลง
2) การผสมกันเองภายในเครือญาติ ที่เกิดจากมีจำนวนประชากรน้อยทำให้เกิดปัญหาเลือดชิด (Inbreeding) ส่งผลให้ลูกควายป่าที่เกิดจากการผสมพันธุ์เช่นนี้อ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคต่ำ และเมื่อผสมพันธุ์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้ควายป่าอ่อนแอและเสี่ยงสูญพันธุ์
3) เกิดการแย่งพื้นที่หากิน ทั้งอาหารและแหล่งน้ำของควายป่าและควายบ้าน
4) การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างควายป่ากับควายบ้าน ทำให้เกิดพันธุกรรมควายป่าเปลี่ยนแปลงไป โอกาสติดโรคระบาด โรคปรสิตที่ส่งผ่านโดยควายบ้านได้มากขึ้น
5) การล่าควายป่า เฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2558 ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยาแข้ง
รวมไปถึงข้อจำกัดในการขยายพันธุ์ควายป่าตามธรรมชาติที่ใช้เวลาอุ้มท้องนานถึง 10 เดือน ฉะนั้นใน 1 ปีจะออกลูกเพียง 1 ตัว ทำให้ประชากรควายป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งคงตัวมาตลอดกว่าสองทศวรรษ แต่ปัญหาสายพันธุ์อ่อนแอทั้งจากเลือกชิดและการผสมข้ามสายพันธุ์นี้เองจะทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย
แหล่งอ้างอิง
- ควายป่า โลกสีเขียว
- สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 นครสวรรค์
- การประชุมเรื่องแนวทางการฟื้นฟูประชากรควายป่าและถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ณ ห้องประชุมศูนย์ควบคุมมาตรฐานการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 นครสวรรค์
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- รายงานการพบควายป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี
- การสำรวจประชากรควายป่าทางอากาศในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
- การติดตามประชากรและการกระจายของควายป่า (Bubalus bubalis Linnaeus,1758) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี
- ประชากรและการใช้พื้นที่อาศัยของควายป่า (Bubalus bubalis Linnaeus, 1758) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี



