ขบวนของเรามาถึงจุดพักกลางวันที่วัดท่าซุง ในเวลาเที่ยงตามกำหนดการ เราจะพักที่นี้เพื่อหลบแดดบ่ายตามธรรมเนียมสองชั่วโมง
ดูเหมือนทีมงานของผมเตรียมการไว้อย่างดีในเรื่องอาหารและน้ำดื่ม จนทำให้ไม่เกิดความชุลมุนวุ่นวายใดๆ หรืออาจเป็นเพราะว่าผู้คนที่มาต่างเตรียมการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี น่าจะได้ติดตามข่าวสารการเดินมาโดยตลอดไม่มีใครทำตัวเป็นภาระใดๆ ให้ต้องช่วยเหลือ
เช้าวันนี้ผมได้รับโทรศัพท์จากผู้บริหารระดับสูงของกรมอุทยานแห่งชาติฯ โทรมาให้กำลังใจและแจ้งผมว่า แม้ว่ากรมอุทยานทำหน้าที่ดูแลป่าแม่วงก์อยู่ ไม่มีใครในกรมจะต้องการให้มีเขื่อนนี้เกิดขึ้น แต่เนื่องจากเป็นนโยบายของรัฐบาลข้าราชการก็ต้องปฏิบัติตาม
ท่านขอบคุณผมและเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ ในบทบาทที่ช่วยกันต่อสู้ในครั้งนี้ พร้อมกันนี้ท่านได้ส่งเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งให้มาร่วมเดินในทางลับ
ผมขอบคุณท่านไปด้วยความซึ้งใจ ใจหนึ่งก็เข้าใจแต่ใจหนึ่งก็อนาถใจในความที่ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองหรือทำตามหลักการหรืออุดมการณ์ของวิชาชีพของภารกิจที่จะต้องปกป้องทรัพยากรป่าไม้ไว้ให้คนไทยทั้งชาติ ของข้าราชการระดับสูงที่ต้องดูแลป่าอนุรักษ์ได้
ระหว่างที่นั่งพักที่วัดท่าซุงผมพบกับกับคุณพจน์ กริชไกรวรรณ ที่พาภรรยาและลูกสาวตัวเล็กมาร่วมเดินแต่เช้า ครอบครัวนี้เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมในแนวทางสันติวิธีมืออาชีพ และร่วมขบวนเดินแบบธรรมยาตรามาโดยตลอด
ผมดีใจอย่างยิ่งที่ขบวนเดินของเราที่แม้ไม่มีพิธีการสันติภาวนา แต่ก็ยังเป็นที่ยอมรับของนักเคลื่อนไหวของสันติวิธีมืออาชีพ
ระหว่างที่พักกลางวันที่วัดท่าซุงเป็นช่วงที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยและขอความช่วยเหลือในการเผยแพร่ข้อมูลและช่วยประชาสัมพันธ์งานวันที่เราจะกลับถึงกรุงเทพฯ ทั้ง ๆ ที่ล่วงเข้าวันนี้ ผมก็ยังไม่มีกำหนดการที่แน่ชัดใดๆ ในมือเลย
อาจเป็นเพราะ ใจจริงแล้วก็เจียมเนื้อเจียมตัวมิกล้าไปเพ้อฝันอะไรใหญ่โตเหมือนอย่างที่พี่ประกอบ อินชูพงษ์ ว่าไว้เมื่อคืนเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าเที่ยงวันนั้น ทีมงานที่ยังอยู่กรุงเทพฯ เริ่มมีเค้าโครงกำหนดการ ตามที่พวกเรามอบหมายให้ ‘บอย’ ภานุเดช ผู้จัดการมูลนิธิสืบนาคะเสถียรเป็นผู้ประสานงานหลักในกรุงเทพฯ
‘จิ๋ว’ สาวนักกิจกรรมอิสระที่ผมเคยได้ยินแต่ชื่อมาแนะนำตัวให้รู้จักในวันนี้ เธอบอกว่าเคยเป็นคนจัดค่ายเยาวชนสิ่งแวดล้อมที่เขาใหญ่แล้วเชิญผมเป็นวิทยากรเมื่อหกเจ็ดปีที่ผ่านมา เธอเสนอตัวมาช่วยงาน ผมก็ทำได้เพียงแค่ให้ประสานกับบอยต่อไป
กาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อดังจากเวียดนามร้อนๆ หอมกรุ่น ซึ่งเราทราบว่ามันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำตัวของพี่อี๊ดแห่งกลุ่มนักธุรกิจเพื่อสังคมถูกยื่นมาให้ผม
แน่นอนว่าเธอชงมาฝากผมและขบวนผู้ร่วมเดินทางด้วย ท่ามกลางเครือข่ายต่างๆ ที่แสดงตัวออกมาในวันนั้น ผมเริ่มมีความหวังเล็กๆ ว่าเราอาจจะลบคำว่าเพ้อฝันในการกระตุ้นให้คนกรุงเทพฯ ออกมาร่วมแสดงออกกับเราสักพันสองพันคนก็อาจจะเป็นไปได้
นริศส่งสัญญาณทางโทรศัพท์มาบอกให้คณะเตรียมออกเดินทางให้เร็วขึ้นแม้ว่าจะต้องเดินผ่านแดดร้อน เนื่องจากต้องหาวิธีการเคลียร์เส้นทางผู้ประกอบการแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำสะแกกรังบริเวณที่สบกับแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะพยายามจัดให้สามารถเอารถในจำนวนมากในขบวนเราข้ามไปได้ในคราเดียว โดยขอให้เราเร่งฝีเท้าไปให้ถึงให้เร็วๆ พร้อมๆ กัน
ขณะที่ผมเดินเข้าไปปลุกคนที่นอนหลับอยู่ที่ศาลาวัดภาพประทับใจหนึ่งที่จำติดตานั่นคือ หนุ่ม ‘ฟิ้น’ นักวิชาการป่าไม้หนุ่มใช้รายงานเล่มหนาเตอะที่อาสาแบกมาในการหนุนนอน แวบหนึ่งในความรู้สึกผมรู้สึกว่าประโยชน์รายงานของเล่มหนานี้ที่เราหวังว่าจะใช้แบกประจานความผิดพลาดของกระบวนการตัดสินใจในการทำลายป่าผ่านโครงการพัฒนาที่ไม่คุ้มค่าก็คือ การมีไว้หนุนนอนแค่นั้นเอง
ขบวนของเราเร่งฝีเท้าไปถึงท่าแพขนานยนต์แข่งกับเมฆฝนก้อนใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นจุดบรรจบของป่าแม่น้ำสะแกกรังที่ลงสู่เจ้าพระยา และก็นึกขำตัวเองที่เคยคิดแบบนักวิชาการจ๋าว่าผมจะใช้จุดสถานที่สำคัญในการอธิบายปัญหาในการจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาผ่านการเล่นเฟซบุ๊ก รวมถึงมีการล้อมวงสนทนาเล็กๆ เพื่อสื่อสารข้อมูลไปสู่สาธารณะ แต่ในความจริงแล้วหลังจากเดินทางมาห้าวันตัว ผมเองตั้งหากที่เหน็ดเหนื่อยไม่มีเรี่ยวแรงและอารมณ์ร่วมพอที่จะทำการสื่อสารดั่งว่าให้สำเร็จได้
ยิ่งเห็นภาพอารมณ์และการตื่นตัวของผู้ร่วมทางจำนวนมากอย่างเช่นในวันนี้รวมถึงสังเกตปฏิกิริยามวลชนในเฟซบุ๊กจากยอดกดไลค์และการแสดงความคิดเห็น ผมรู้ว่าการสื่อสารแบบนักวิชาการที่ว่ามานั้นมันไม่มีพลังเทียบเท่ากับประโยคสองประโยคที่กระทบใจและความรู้สึก รวมถึงความเชื่อมั่นในตัวผู้ส่งสาร ที่ดูจะประสบความสำเร็จในตอนที่สื่อสารด้วยสองเท้ามากกว่าข้อมูลบนพาวเวอร์พอยต์
เช่นเดียวกับภาพที่ถ่ายบนเฟซบุ๊ก ภาพที่ผมจะพยามจะถ่ายให้เห็นถึงสภาพทางน้ำหรือการจัดการซับซ้อน ก็ย่อมไม่มีพลังเท่ากับภาพของผู้คนที่มาร่วมกันแสดงออก
พวกเราวิ่งลงบนแพขนานยนต์สบแม่น้ำสะแกกรังเจ้าพระยาที่ช่างกว้างใหญ่ ตรงนั้นเราเห็นแม่น้ำสองสีไหลมาพบกัน แม่น้ำสะแกกรังสายขวาสีเขียวไหลเลียบสันดอนทรายที่มีพงหญ้าปลิวไสวงดงามลงสู่มหานทีเจ้าพระยาสีน้ำตาลละมุ่น
แพขนานยนต์เคลื่อนออกจากฝั่งพร้อมกับเมฆฝนก้อนใหญ่มหึมาที่ลอยตามเรามาจากทิศเหนือเปลี่ยนบรรยากาศรอบแพเป็นสีเขียวทะมึนเหมือนเวิ้งน้ำและผืนฟ้าค่อยๆ กลืนเป็นแผ่นผืนเดียวกัน เมฆฝนเขียวทึบกดต่ำลงมาพร้อมลมแรงพลิ้วน้ำสะแกกรังเป็นระลอกคลื่นรวมกับเจ้าพระยา
พลันเมฆบนฟ้าก็สะท้อนสีน้ำสองสายให้เป็นหนึ่งเดียว ลมพัดแรงสร้างบรรยากาศให้น่ากลัวธรรมชาติกดทับหัวใจผู้คนจากหลากหลายที่ให้มาร่วมกันบนแพล่องลอยไปบนสายน้ำเชียวลมแรงและปรอยฝน
ใครบางคนในขบวนของเราสะบัดธงสีขาวที่สกรีนข้อความ Stop EHIA MEAWONG ขึ้นทาบแผ่นฟ้า
ธงสองสามแผ่นถูกชูสะบัดอย่างท้าทายเหมือนกับหัวใจของคนที่เดินที่กล้าท้ากล้าลอง ผืนธงสะบัดพริ้วตามลมแรงพรึบๆ
เครื่องมือสื่อสารประจำตัวในยุคสามจีทำหน้าที่ถ่ายทอดคนและธงที่สะบัดเด่นโดยท้าทาย
กดแชร์กระเพื่อมคลื่นกระจายออกไปพร้อมกัน
ร่วมรักษาป่าใหญ่และสิ่งแวดล้อมกับมูลนิธิสืบนาคะเสถียร