ตะโกนก้องสู่คนทั่วประเทศ part 1

ตะโกนก้องสู่คนทั่วประเทศ part 1

ภายใต้เสื้อเชิ้ตยับๆ และกางเกงทรงกระบอกสีเข้ม หนุ่มวัย 40 ที่ชื่อ ‘สืบ นาคะเสถียร’ ไม่มีรูปลักษณ์ภายนอกอันใดโดดเด่นต่างไปจากคนอื่น

ชื่อเสียงของเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักกันในวงสังคม ไม่เคยเป็นข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์ เขาอาจจะเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครอยากรู้จัก ไม่มีใบประกาศเกียรติคุณใดๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงเกียรติยศ

แต่เพราะสิ่งที่เขามีคือความเป็นคนผู้มีจิตสำนึกรักแผ่นดินบ้านเกิด และออกโรงทำทุกสิ่งที่เขาทำได้ตามจิตสำนึกนั้นอย่างยากนักที่จะหาผู้คนใน ปัจจุบันกระทำได้เยี่ยงเขา

คุณว่านี่คือการยกย่องเกินกว่าเหตุหรือ?

เปล่าเลย..ถ้าคุณได้อ่านบทสัมภาษณ์ในหน้าต่อไปนี้

ที่กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ คนที่รู้จักสืบ นาคะเสถียร รู้กันดีว่านักวิชาการป่าไม้อย่างเขามีความรักสัตว์ป่าและป่าไม้เพียงใด 10 กว่าปีที่เขาทำงานด้านนี้ ทุ่มเททั้งกายและใจเพียงเพื่อหวังจะให้คนรู้จักรักอย่างที่เขารู้จัก โดยไม่หวังตำแหน่งหน้าที่การงานอันก้าวหน้า เงินทองหรือชื่อเสียง

ปัจจุบัน เขาเป็นเพียงข้าราชการซี 6 เงินเดือน 8 พันกว่าบาท คือเงินที่เขาได้รับจากการทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี โดยไม่มีเงินอื่นนอกเหนือ ส่วนหนึ่งในผลงานของเขาเมื่อเร็วๆ นี้ คือการเสนอเรื่องของบประมาณช่วยเหลือจากองค์การยูเสด (Usaid-United Agency for International Development) และขณะนี้เขาได้ทำเรื่องเพื่อจะยื่นแก่ World Wild Fund for Nature เพื่อขอให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นมรดกโลก

วันที่ 25 มกราคม 2533 เป็นวันที่บทสนทนาได้เริ่มขึ้น หลังจากที่เขาได้ขึ้นอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนในงานสัมมนาว่าด้วยปัญหาการอนุรักษ์สัตว์ป่าและป่าไม้


มันเหมือนกฎหมายสัตว์ป่าที่คุณบอกว่าคุณสามารถที่จะมีเก้ง
มีกวาง มีเสือ มีหมาใน หมาจิ้งจอก เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองพวกนี้มีไว้ในครอบครองได้
ถ้าไม่เกินปริมาณที่กำหนด นี่! ทำไมในเมื่อเราคุ้มครองแล้ว
ทำไมเราไม่คุ้มครองมันทุกตัว


 

ที่ทางยูเสดให้นี่ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยหรือ

ผมไม่มีเงื่อนไข เพียงแต่ว่าเราเป็นเจ้าของบ้าน เราจะต้องบอกเขาว่าเราอยากได้อะไร เขาจะเอาของมาให้เรา งบประมาณในราวล้านห้าดอลลาร์ ก็ประมาณเกือบ 40 ล้านบาท

ให้เฉพาะที่ห้วยขาแข้งแห่งเดียวรึเปล่า

ใช่ ที่ห้วยขาแข้ง แต่เราพยายามบอกเขาว่า อย่ามองที่ห้วยขาแข้งแห่งเดียว เพราะจริงๆ แล้วห้วยขาแข้งกับทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นป่าอนุรักษ์ที่เป็นหัวใจของป่าตะวันตก อยากให้โครงการกระจายทั้ง 2 พื้นที่ เพราะว่าทุ่งใหญ่พื้นที่มันมากกว่าและสภาพป่ามันต่อเนื่องกันอยู่ ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่นั่น เพียงแต่ว่าที่ห้วยขาแข้งมีสถานีวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ป่าเรื่องป่าไม้ เลยทำให้ผลงานวิจัยต่างๆ ไปทำที่ห้วยขาแข้งกันมาก มันเลยติดหูคน

ที่บอกว่าเป็นหัวใจของป่าตะวันตก คือ เหตุผลที่ทำให้ตกลงใจเสนอห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่ฯ เป็นมรดกโลกใช่ไหม

พี่มองว่านี่คือป่าสำคัญอย่างที่บอกแล้ว และไม่ใช่เราบอกคนเดียว นักวิจัยจากต่างประเทศก็ได้มารู้มาเห็นแล้ว จุดตรงนี้มันเป็นใจกลางของรอยต่อของเขตภูมิศาสตร์ตามโซน มีอินโดไชน่าทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อินโดเบอร์ม่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถ้าเป็น 3 ห่วง แล้วข้างล่างแถวอินโดมาเลย์มันขึ้นกันมาตรงนี้ ทุ่งใหญ่ฯ กับห้วยขาแข้งมีตรงนี้พอดีเป็นสัญลักษณ์ที่เด่นชัดมากที่เป็นรอยต่อของเขต 3 เขต ซึ่งในโลกนี้แทบจะหาไม่ได้เลยที่มันมีลักษณะแบบนี้ และประเทศไทยขวานทองนี้มันตั้งอยู่ตรงนี้พอดี และก็บังเอิญป่าตรงนี้มันเหลืออยู่เพราะว่าทางรัฐบาลสมัยก่อนได้เห็นความสำคัญ จะเห็นได้ว่าการที่ประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแต่ละแห่ง ถ้าเทียบกับอุทยานแห่งชาติยากลำบากมากเพราะอะไร… เพราะกฎหมายไม่เปิดโอกาสให้เลย แม้แต่เรื่องเมื่อก่อนนี้ ก่อนที่จะปิดป่าสัมปทานเหมืองแร่ สัมปทานไม้ ประกาศเป็นอุทยานฯ แล้วยังสามารถทำต่อไปได้ กฎหมายก็ยังเปิดโอกาสเพราะมีบทเฉพาะกาล เขาเปิดให้ทำไปจนกระทั่งสิ้นสุดสัญญา สมมติสัญญา 30 ปี ตอนประกาศเป็นอุทยานฯ เพิ่งทำไปได้ 10 ปี 15 ปี ก็ต้องให้เขาตัดไม้ไปจนครบ 30 ปี คืออีก 15 ปีให้ครบตามสัญญา แต่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านี้ไม่ได้

ทำไมมันถึงประกาศยาก เพราะว่ามันไม่อยากให้หน่วยงานในกรมป่าไม้ที่เกี่ยวข้องกับการให้สัมปทานป่า เขาก็ไม่อยากให้ป่าผืนนี้เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า เพราะว่าให้แล้วเขาทำไม้ไม่ได้ (เสียงคนเล่าเริ่มดังขึ้นเพราะเริ่มมีอาการพูด ‘ได้ที่’) ใช่ไหม และคนที่อยากอนุญาตให้ทำไม้ก็เป็นกรมป่าไม้ คนที่จะรักษาก็เป็นกรมป่าไม้อีกเหมือนกัน คือคนในคนเดียวกัน มันมีทั้งแบบว่า เฮ้ย! ของนี้จะใส่ในมือซ้ายหรือมือขวาดี คือถ้าใส่มือขวา มือซ้ายก็อด ซึ่งการทำไม้สมัยก่อนเราก็รู้ แม้แต่จนกระทั่งปิดป่าปั๊บก็มีแต่คนบอกว่าไม้ไม่พอใช้ ราคาไม้สูง สมควรจะเปิดป่า บางคนบอกว่าปิดป่าก็หยุดการทำลายป่าไม่ได้ อันนั้นมันพาลแล้ว มันพาลบอกว่าน่าจะเปิดป่า ซึ่งจริงๆ มันจะยิ่งเลวใหญ่ การทำลายมันยิ่งเลวมากขึ้น เพราะอัตราการทำลายจริงๆ ตั้งแต่เริ่มตั้งกรมป่าไม้และเริ่มมีการทำไม้ในประเทศไทย สมัยก่อนมีป่า 70 – 80% เพราะอัตราการทำลายปีละ 1.5 ล้านอย่างน้อย มันไม่เคยตกลงมันจะเป็นอย่างนี้ตลอด เพียงแต่ว่ารัฐบาลมาเห็นตอนที่ป่าเหลือประมาณ 20%

ช่วงนี้อัตราการทำลายป่าก็ยังคงอยู่หรือ

อัตราการทำลายเมื่อก่อนกับตอนนี้นะถ้าจะพูดไปแล้วก็เท่าเดิม ทำไมผมถึงพูดว่าเท่าเดิม เพราะว่าป่าสัมปทานนี้… สมมติป่ากรุงเทพฯ เป็นป่าสัมปทาน ตามระบบการตัดฟันและวิธีการที่เขาสอนกันมา วิธีการที่อาจารย์คณะวนศาสตร์ อดีตคณบดีคณะวนศาสตร์ สอนนิสิตที่เป็นป่าไม้ทุกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมีแห่งเดียวในประเทศไทย…คณะป่าไม้เนี่ย ‘ทำไม้อย่างไรถึงจะเป็นระบบที่เลือกตัดได้ถูกต้อง’ การเลือกตัดนี้หมายถึงว่า ถ้าในป่ามันมีต้นไม้อยู่ทั้งหมด 100 ต้น สมมติต้นไม้ที่มีอายุตั้งแต่ 100 ปีลงมาจนถึงอายุ 10 ปี สมมติเป็นอายุ 10 20 30 40 นะ ถ้าเผื่อเราจะตัดไม้ เราจะต้องตัดต้นอายุ 100 ปี 90 ปี 80 ปีเท่านั้น คือ 30 ต้น เพราะมันใหญ่พอแล้ว ส่วนที่เหลืออายุ 70 ลงมานี่ต้องทิ้งเอาไว้ จะต้องรักษาให้อยู่ด้วย เราจะต้องไม่ตัดไม้พวกนี้ เพราะเมื่อครบรอบตัดฟันของป่าผืนนี้ ป่าผืนนี้จะแบ่งเป็น 10 ตอน แต่ละตอนจะมี 3 แปลง เพราะฉะนั้น 1 ปี จะตัดได้ 1 แปลง มันจะมีอยู่ได้ 30 ปี เป็นรอบต้นไม้ ในปีที่ 31 ต้นไม้ที่อายุ 70 ของแปลงเดิมมันจะมีอายุ 100 ปี แล้วอย่างนี้ป่าก็ไม่หมดครับ

แต่ไม่มีป่าสัมปทานในเมืองไทยที่ไหนทำได้ หลังจากที่ไม้มันถูกตัดออกไปในแปลงที่ 1 ไม้เล็กๆ ก็ถูกเผาทำลาย ราษฎรยึดพื้นที่ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง หรือไม่งั้นตอนนี้ยิ่งหนักใหญ่ พวกนายทุนเข้าไปตัดราคาที่ดิน โดยการไปซื้อแบบมือเปล่าหรือไม่ก็ไปฮั้วกับพวกเจ้าหน้าที่ออกหลักฐานมา คือ ป่าสงวนทำให้เป็นป่าเสื่อมโทรมได้ แล้วก็มีการเซ็นกัน 3 คน ป่าไม้อำเภอ ที่ดินอำเภอ นายอำเภอ บอกว่าบริเวณนี้เป็นส่วนป่าสงวนที่เสื่อมสภาพแล้ว สมควรจะออก นส.3 ได้ มันเล่นกันอย่างนี้ ถ้าผมเป็นชาวบ้านผมก็ต้องตัดป่าขาย ในเมื่อนายทุนมีตั้งเยอะแยะแล้วผมไม่มีที่จะอยู่ ใช่มั๊ย ผมไม่มีรายได้อะไร… อันนี้คือที่ผมบอก อัตราการทำลายมันไม่ได้หยุดลงเพราะเมื่อก่อนสัมปทานป่าไม้ นายทุนบางทีไม่ใช่เอาไม้ใหญ่อย่างเดียว คือ เจ้าหน้าที่เป็นคนหวดค้อนให้ คือ พ่อค้า พูดง่ายๆ เขาจะตัดไม้ต้นไหน ไม้ต้นนั้นจะต้องมีตราค้อนที่ตีลงไปว่าต้นนี้ตัดได้ คนที่อนุญาตคือเจ้าหน้าที่ แล้วทำไมป่ามันหมด ทำไมต้นไม้ที่ไม่ควรจะตัดมันถูกตัด เพราะเจ้าหน้าที่มันตีค้อนลงไปใช่มั๊ย เมื่อเป็นอย่างนี้ใครจะรักษาป่า ตัดผ่านไปแล้วมันก็แล้วกันไป ต้นไม้ที่ควรละเว้นไม่ตัดก็ถูกตัด

ตอนนี้ก็ยังคุมไม่ได้

อัตราการทำลายตอนนี้ที่ยังเป็นอยู่ คือ ราษฎรตัดต้นไม้เอง หรือว่าพวกที่มีโรงเลื่อยหรือว่ามีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรอยู่ คือไปซื้อไม้พม่า แต่พวกที่ยังทำไม้ในประเทศของเราในป่าธรรมชาติก็ยังมีการลักลอบทำกันอยู่ หรือว่าราษฎรที่ต้องการที่ดิน และยิ่งมีการซื้อขายกันได้ ราคาที่ดินถูกเหมือนกับที่มีข่าวทางภาคใต้ พอมีคนมาซื้อที่ดินราคา 9 ล้าน นอนคิด 1 วันก็ขายแล้ว ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร… มันเป็นอย่างนี้บ้านเรา กฎหมายมันก็มีระเบียบเงื่อนไขในการทำสัมปทาน คุณจะต้องตัดไม้อย่างนั้นนะ เจ้าหน้าที่ที่ไปเกี่ยวข้องกับการทำผิดจะต้องถูกลงโทษ ผมไม่เห็นมีสักกี่รายเลย ส่วนมากก็โดนตัวเล็กๆ ทั้งนั้น

ถึงแม้จะหยุดป่าสัมปทานแล้วก็ตาม แต่ราษฎรที่บุกรุกอยู่ในเขตป่าสงวนตอนนี้ล้านกว่าครอบครัว ป่าไม้ที่ไหนจะเหลือ นอกจากความจริงใจของทางรัฐบาล เขาบอกว่าจะต้องรักษาให้ได้โดยการจำแนกพื้นที่ออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และบอกเลยว่าป่าสงวนตรงนี้ห้าม ห้ามมีกรรมสิทธิ์ ห้ามเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ตอนนี้ที่ป่าหมดเพราะอะไรรู้มั้ย เพราะป่าสงวนหมดสภาพสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นป่ายูคาลิปตัสได้ เป็นแปลงยูคาลิปตัส ผมไม่อยากจะเรียกป่าเพราะมันไม่ใช่ป่า และที่เอาเงินรัฐบาลมาปลูกต้นไม้ทดแทนไร่ละหนึ่งพันบาท อ้างว่าเอามาปลูกป่า ปลูกอะไร (เสียงคนเล่าเข้มขึ้น) เอาต้นยูคาลิปตัสปลูกเป็นทาง 4 เมตร แถวละ 8 เมตร แล้วปลูกอย่างนี้เป็นป่าหรือเปล่า

ถ้าป่าสงวนเปลี่ยนสภาพหรือถูกทำลายไปแล้ว ก็จะต้องปล่อยอยู่ ถ้ารัฐบาลไม่มีงบประมาณมาบำรุงรักษาให้คืนสภาพได้ก็ห้ามเอาไปทำอย่างอื่น ห้ามขาย แบ่งไปเลยกี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่จำแนกออกมา แล้วตรงกลางนี้จะเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมหรืออย่างอื่น แล้วข้างล่างนี้จะเป็นพื้นที่อนุรักษ์ จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น นี่คือพูดกันตามกติกา คราวนี้ถ้าคุณจะปลูกยูคาลิปตัสคุณจะต้องไปเขตอื่น คุณจะเอาป่าสงวนที่บอกว่าเสื่อมสภาพมาปลูกไม่ได้ ตอนนี้ช่องโหว่มันอยู่ตรงนี้ มันอยู่ที่เราออกข้อแม้ว่าถ้าป่าสงวนเสื่อมสภาพ สามารถจะเอาไปปลูกยูคาลิปตัสได้ มันเหมือนกฎหมายสัตว์ป่า ที่คุณบอกว่าคุณสามารถที่จะมีเก้ง มีกวาง มีเสือ มีหมาใน หมาจิ้งจอก เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองพวกนี้มีไว้ในครอบครองได้ถ้าไม่เกินปริมาณที่กำหนด นี่! ทำไมในเมื่อเราคุ้มครองแล้ว ทำไมเราไม่คุ้มครองมันทุกตัว ต้องแก้กฎหมายสิ กฎหมายยื่นไปตั้งแต่ปี 2522 ไม่มีใครสนใจแก้ออกมา ถ้าจริงใจกันวันนี้พรุ่งนี้เอาเข้าสภาพสิ ตัดสินใจออกมาเลยว่า กฎหมายนั้นเหมาะสมที่จะใช้ในการควบคุมสัตว์ป่ามั้ย ไม่เห็นจะยากตรงไหน

สองประเด็นนี้มีการพูดในที่สัมมนาหรือเปล่า

พูด

แล้วมีคนออกความเห็นว่ายังไงกันบ้าง

คือ… สมควรที่จะแก้ไขให้ทันกับสภาพการณ์ปัจจุบัน สัตว์ป่าหลายชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว อีกหลายชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ ทำไมไม่รีบแก้ ตอนนี้มีสัตว์หลายชนิดแล้วที่ควรสงวนเดี๋ยวนี้ อย่างเก้งหม้อ กำลังจะสูญพันธุ์ ทำไมไม่รีบแก้ไขกฎหมาย แล้วยกระดับอันนี้ให้เป็นสัตว์ป่าสงวนไปเลย การซื้อ การค้า การล่า การขายห้ามเด็ดขาด ยกเว้นในทางวิชาการ แล้วคนที่จะอนุมัติได้คืออธิบดีกรมป่าไม้คนเดียว รับผิดชอบไปคนเดียว

ขอย้อนไปเรื่องป่าสงวนนิดนึง ที่เมื่อกี้คุณสืบบอกว่าถ้ามีการจำกัดเป็นป่าสงวนแล้ว ทางด้านผลกระทบต่อชาวบ้านล่ะ

มันอยู่ที่ว่าตอนนี้นะ เราไม่ได้เล่นตามกติกา คือมันเดือดร้อนแน่ ไม่มีที่จะทำกัน แต่ถ้าเราปล่อยอย่างนี้ ทุกคนอยากได้ที่หมด ไม่ใช่เฉพาะแต่ชาวบ้าน เดี๋ยวนี้ชาวบ้านถูกหนุนหลังอยู่ ตามข้อเท็จจริงมีมั้ยชาวบ้านที่เราเรียกว่าชาวบ้านจริงๆ นั้นมีที่เป็นพันเป็นหมื่นไร่ มีมั้ย ไม่มี มีแต่นายทุนทั้งนั้นที่รับซื้อจากชาวบ้านพวกนี้ไป เราไปโทษชาวบ้านบอกว่าชาวบ้านบุกรุกป่า ต้นเหตุมาจากใคร ถ้าเขาบุกรุกป่าแล้วเขารู้ว่ามันผิดกฎหมายแล้วไม่มีใครรับซื้อ… เหมือนอย่างถ้าผมเป็นพราน ผมไปล่าสัตว์ ล่าลูกชะนีมาตอนนี้ ผมยิงแม่มันแล้วผมกระชากลูกมันมาจากอกนี่ ถ้ามีคนมาซื้อผมจะไปยิงอีก ผมจะไปกระชากลูกมันอีก แต่ถ้าชาวบ้านรู้ว่าตรงนี้บุกไปก็ไม่มีทางได้ ขายก็ไม่มีคนซื้อ ดูซิ หน้าไหนจะบุก มันต้องเล่นกันตามกติกากันบ้าง ยอมเสียสละกันบ้าง ไม่ใช่ว่ามีหมื่นไร่ยังไม่พอจะเอาซะล้านไร่ เอาไปทั้งประเทศเลยมั้ย (น้ำเสียงในถ้อยความช่วงหลังนี้ ดุเดือดขึ้นตามอารมณ์ภายในของผู้เล่า)

เดี๋ยวนี้มันขายประเทศกินแล้ว ผมไม่อยากจะพูด… แล้วคนยุคนี้เท่านั้นนะที่ผมบอกว่าอัตราการทำลายนี่ ถ้าตามเรทที่มันเป็นและไม่สามารถที่จะหยุดได้ อีก 30 ปีข้างหน้า เส้นกราฟนี่มันจะตกลงมาตรงเลข 0 คือเปอร์เซ็นต์ของป่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยมันตกหมด อันนี้อาจจะมีคนแย้งบอก เอ้า… เหลือป่าอนุรักษ์ไง ปัจจุบันป่าอนุรักษ์ที่ว่าเป็นต้นน้ำลำธาร ป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าอุทยานแห่งชาติ มันยังไม่ได้ถูกจับมาพูดกันจริงๆ จังๆ ตอนนี้มีแต่คนมองว่าป่าสงวนถูกบุกรุก มีราษฎรล้านกว่าคน อะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้ในเขตอุทยาน ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าบางแห่ง ส่วนใหญ่มากกว่า 50% ของพื้นที่พวกนี้มีราษฎรเข้าไปอยู่ บุกรุกอยู่ด้วย อย่างเขื่อนอ่างเก็บน้ำศรีนครินทร์ จะทำรีสอร์ตกันอยู่บนดิน นั่นก็ดินมั้ย ที่ป่าสงวนที่ถูกเพิกถอนใช่หรือเปล่า ก็พื้นที่พวกนี้มันจะหมด อย่าให้ข้อโต้แย้งว่า “ป่าอนุรักษ์จะอยู่” ผมไม่เชื่อ เพราะถ้าป่าข้างนอกมันหมดแล้ว ข้างในจะอยู่ได้ยังไง ไฟมันไหม้ข้างบ้านวันนี้ ถ้าไม่ช่วยกันดับ พรุ่งนี้มันจะไหม้อีกบ้าน

ตอนนี้ป่าสงวนเป็นป่ากันชนให้กับป่าอนุรักษ์ เพราะอยู่รอบๆ ป่าอนุรักษ์ กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ และป่าสงวนที่เหลืออยู่คือป่าสงวนที่แปลงป่าสัมปทานเขายกเลิกสัมปทานไป ก็ไม่มีใครไปตัดไม้ตามสัมปทานอีก แต่พวกนี้กำลังถูกบุกรุก ทุกวันนี้ราษฎรที่อาศัยอยู่ยิ่งรู้ว่าจะต้องถูกย้ายออกไป เขาทำอะไร… เขาตัดต้นไม้ขาย เขาตัดไม้นี่เขาไม่จำเป็นต้องไปขายที่ตลาด มันมีนายทุนที่จะเอารถสิบล้อเข้าไปขนตอนกลางคืน แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมมือในการที่จะให้ไม้มันผ่านไปยังพวกพ่อค้าไม้ได้ หรือใครอยากจะปลูกบ้านหลังใหญ่ๆ จะซื้อไม้ถูกๆ ก็ไปซื้อได้ตามหมู่บ้านที่ผิดกฎหมายที่อยู่ในป่าสงวน… ปัญหามันไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง สมมติว่าภาครัฐบาลบอกว่าป่าผืนนี้เป็นป่าสงวนนะ ทำเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถึงแม้จะหมดสภาพก็ต้องรักษาไว้ ป่ามันจะต้องลด มันไม่มีเพิ่ม แล้วนโยบายป่าไม้บอกจะทำให้ป่าไม้ได้ 40% จะทำได้ยังไงในเมื่อก็ปลูกแต่ต้นยูคาลิปตัส นั่นหรือป่า มองกันให้ชัดและพูดกันให้ตรงเป้าก่อนสิว่าคุณทำอะไรกันแน่


อ่านต่อ ตะโกนก้องสู่คนทั่วประเทศ part 2


นิตยสารอิมเมจ vol.3 no.3 เดือนมีนาคม 2533
สัมภาษณ์ สืบ นาคะเสถียร ตะโกนก้องสู่คนทั่วประเทศ
เรื่อง / ภาพ