ครอบครัวห้วยขาแข้ง หมายถึงอะไร หากกล่าวเป็นคำนิยามสั้นๆ สามารถสรุปได้ว่าเป็นการดูแลรักษาป่าห้วยขาแข้งและผืนป่าโดยรอบหรือที่เรียกว่าป่ากันชน ไปพร้อมๆ กัน โดยบูรณาการงานอนุรักษ์อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ชุมชน หรือองค์กรพัฒนาเอกชน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ถูกยกระดับให้กลายเป็นเครือข่ายหรือ ‘ครอบครัว’ เพื่อดูแลผืนป่า สัตว์ป่า และคุณภาพชีวิตของผู้คนร่วมกัน
โดยความเป็นครอบครัวในที่นี้ได้ให้ความสำคัญถึง ‘พื้นที่ป่ากันชน’ รอบๆ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งมีองค์ประกอบของพื้นที่ที่มีความหลากหลาย ทั้งพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานรัฐอย่างป่าสงวนแห่งชาติ เขตห้ามล่าสัตว์ป่า พื้นที่เตรียมผนวกเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่านันทนาการ ตลอดจนผืนป่าที่มีชุมชนเป็นแนวหน้าในการปกป้องอย่างป่าชุมชน (ภายใต้การกำกับดูแลของกรมป่าไม้)
ซึ่งพื้นที่แต่ละลักษณะมีหน่วยงานที่หลากหลายเป็นเจ้าภาพหลักในการดูแล ในภาพใหญ่อาจมองได้ว่าอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่หากย่อยลงมา ลักษณะพื้นที่แต่ละแห่งจะมีหน่วยงานย่อยในสังกัดเป็นผู้ดูแล และแต่ละหน่วยงานมีอาณาเขตการดูแลพื้นที่เฉพาะส่วนของตน
ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มีหน่วยงานของกรมป่าไม้ 2 แห่ง มีสำนักงานตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก คือ หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นว.1 (แม่กะสี) และหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ อน.2 (บ้าน กม.53) โดยทั้งสองหน่วยงานทำงานภายใต้ภารกิจของกรมป่าไม้ และหน่วยป้องกันรักษาป่าทั้งสองแห่งต่างมีแผนการจัดการพื้นที่เป็นของตนเอง เช่นเดียวกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งที่มีแผนการจัดการพื้นที่ของตนเองเช่นกัน
อย่างไรก็ดี หากเปลี่ยนมามองในมุมของระบบนิเวศแล้ว พบว่าผืนป่ารอบๆ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งทั้งหมด ไม่ว่าอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยใด ก็ล้วนแต่เป็นป่าผืนเดียวกัน มีความเชื่อมต่อถึงกัน มีหลักฐานการเคลื่อนย้ายตัวของสัตว์ป่าจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเข้ามาหากินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานของหน่วยงานหนึ่งย่อมส่งผลต่ออีกหน่วยงานไม่ทางใดทางหนึ่ง หากทำงานแบบแยกส่วนโดยตัดขาดกันโดยสิ้นเชิง ผลลัพธ์ของการดูแลรักษาผืนป่าก็อาจให้ประสิทธิภาพได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
องค์ประกอบที่สำคัญอีกเรื่อง คือ ชุมชนที่ตั้งรกรากอยู่ประชิดผืนป่า และเป็นหนึ่งในผู้ใช้ประโยชน์ มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงทั้งกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาอย่างนมนานจนถึงปัจจุบัน
ความเป็นชุมชนในที่นี่มิได้หมายความเพียงราษฎรทั่วไป แต่ยังรวมถึงหน่วยงานในท้องถิ่นที่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมด้วย ดังที่ปัจจุบันได้ปรากฏเรื่องการกระจายอำนาจเรื่องสัตว์ป่าและไฟป่า ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ

สำหรับแนวทางจัดการก่อนมาเป็น ‘ครอบครัวห้วยขาแข้ง’ ในอดีต ช่วงที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมีหัวหน้าชื่อ สืบ นาคะเสถียร เคยมีความพยายามผลักดันแนวความคิดเรื่อง ‘ป่ากันชน’ คือบริเวณป่าสงวนรอบๆ ป่าห้วยขาแข้งในรัศมี 5 กิโลเมตร ให้เป็นป่าชุมชนของชาวบ้าน ชาวบ้านสามารถมาใช้ประโยชน์ ตัดไม้หาของป่าได้ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นป่ากันชน ซึ่งจะทำให้ป่าห้วยขาแข้งปลอดภัยจากการบุกรุกด้วย รวมถึงได้เขียนเสนอไว้ในเอกสารวิชาการเพื่อเสนอพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในขณะนั้น
ก่อนที่จะเกิดแนวทางการทำงาน เช่น การวิจัยและจัดทำข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ การคุ้มครองดูแลพื้นที่ป่าทั้งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ด้านนอก และการบูรณาการด้านการพัฒนาชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับผืนป่าได้
อย่างไรก็ดี นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันการจัดการในบางเรื่องยังขาดความต่อเนื่องทำให้ท้ายที่สุดแนวการจัดการพื้นที่ป่ากันชนขาดความสม่ำเสมอ ไม่อาจเกิดรูปธรรมการดูแลรักษาป่าอย่างมีส่วนร่วมได้อย่างชัดเจน
ในปี พ.ศ. 2568 มูลนิธิสืบนาคะเสถียร จึงได้พยายามฟื้นรูปแบบการทำงานดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายบูรณาการการทำงานร่วมกันเสมือนเป็น ‘ครอบครัว’ โดยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และพื้นที่ป่ากันชนซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ตลอดจนชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่
โดยสรุป แนวคิดพื้นฐาน ‘ครอบครัวห้วยขาแข้ง’ เปรียบเทียบ ‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง’ เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ไม่โดดเดี่ยว มีองค์ประกอบรอบด้านที่เข้ามาช่วยดูแลปกป้องหัวใจหลักของบ้าน เปรียบได้กับ ‘รั้วล้อม’ ซึ่งสื่อถึงชุมชน หน่วยงาน และผืนป่ารอบๆ ที่ทำหน้าที่เป็น ‘แนวกันชน’ ผ่านการสร้างเครือข่ายร่วมกันของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานรัฐ หรือองค์กรเอกชน ล้วนมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันดูแลแก้ไขปัญหา รวมถึงผลักดันแผนงานด้านอนุรักษ์ให้ดำเนินไปอย่างสอดคล้องและยั่งยืน