โลกอาจสูญเสีย “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ไปแล้ว 87%

โลกอาจสูญเสีย “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ไปแล้ว 87%

พื้นที่ชุ่มน้ำ หนองนำ้ บึง ที่ลุ่ม พื้นที่รับน้ำ แหล่งบำบัดน้ำ สถานอนุบาลสัตว์ แหล่งอาหาร อ่างกักคาร์บอนฯ คำที่ใช้เรียกพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นมีมากมายหลายหลาก เช่นเดียวกับหน้าที่และคุณประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมนานับอนันต์

แต่ในเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา ระบบนิเวศที่ว่านี้กลับถูกเห็นเป็นเพียงสถานที่ถ่วงการพัฒนาของผู้คน เป็นสิ่งกีดขวางการระบายน้ำ และถูกขุดลอกเพื่อสนองต่อความก้าวหน้า

มีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่รอดพ้นจากความเปลี่ยนแปลง

ในงานวิจัยหัวข้อ How much wetland has the world lost? ระบุว่า ในช่วง 300 ปีที่ผ่านมา โลกอาจสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำไปแล้วถึง 87% ของที่เคยมี โดยพื้นที่ชุ่มน้ำส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายลงหลังปี 1900 เป็นต้นมา

แต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์เริ่มเข้าใจว่าพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาและเศรษฐกิจอย่างไร และประชาคมสิ่งแวดล้อมทั่วโลกต่างได้รีบเร่งลงมือปกป้องพื้นที่ที่ยังหลงเหลืออยู่

ผลลัพธ์ทางรูปธรรมทำให้เกิดอนุสัญญาแรมซาร์ หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ อันเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาล เพื่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

ชื่อของอนุสัญญาถูกตั้งตามชื่อเมืองแรมซาร์ของประเทศอิหร่าน ซึ่งเป็นสถานที่ลงนามข้อตกลงร่วมกันเป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.. 1971 อนุสัญญาฉบับนี้ปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำ 2,413 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 2.55 ล้านตารางกิโลเมตร และมี 170 ประเทศร่วมลงนามในสัตยาบัน

แต่ถึงกระนั้น พื้นที่ชุ่มน้ำก็ยังคงถูกทำลาย และลดลงอย่างต่อเนื่อง

ในบทความที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Nature เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขียนร่วมโดยนักวิจัย 2 คน Peter Bridgewater จาก University of Canberra และ Rakhyun Kim จาก Utrecht University ระบุว่า อนุสัญญาที่เกิดขึ้นยังไม่สามารถปกป้องพื้นที่ได้ดังวัตถุประสงค์

ตลอด 50 ปี ที่มีอนุสัญญาแรมซาร์ พื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลกยังคงถูกทำลาย อย่างน้อย 35%” นักวิจัยทั้งสองกล่าวในการแถลงผลงาน

ตัวเลขดังกล่าวถูกเปิดเผยในระหว่างการประชุม Global Wetland Outlook ครั้งแรก ของการประชุมอนุสัญญาแรมซาร์ ตั้งแต่ปีปี 2018 พร้อมคำอธิบายเชิงเปรียบเทียบว่า พื้นที่ชุ่มน้ำลดลงในอัตราที่เร็วกว่าพื้นที่ป่าถึงสามเท่า

สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มขึ้นของประชากร การขยายตัวของเมือง และรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น การเปลี่ยนไปใช้อาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นวัตถุดิบมากขึ้น นำไปสู่การแผ้วถางและเพาะปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่

พื้นที่ชุ่มน้ำ ถูกจัดเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดของโลก เทียบเท่ากับแนวปะการัง และป่าฝน

นอกเหนือการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญ และเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตทางชีวภาพสำหรับสัตว์ป่าแล้ว พื้นที่ชุ่มน้ำยังให้บริการทางนิเวศที่สำคัญสำหรับชุมชนมนุษย์ทั่วโลก

พื้นที่ชุ่มน้ำช่วยป้องกันอุทกภัย โดยการดูดซับน้ำส่วนเกินจากแม่น้ำที่เอ่อล้น ทั้งยังทำหน้าที่กรองมลพิษจากน้ำใต้ดินก่อนที่จะเข้าสู่ชั้นหิน อุ้มน้ำ และเป็นระบบกักเก็บคาร์บอนฯตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างหนึ่งของโลก

จากรายงานของ Ramsar Scientific and Technical Review Panel ระบุว่า พื้นที่ชุ่มน้ำเก็บคาร์บอนฯ บนบกได้ถึง 35% แม้จะมีอาณาเขตครอบคลุมเพียง 9% ของพื้นผิวโลกก็ตาม

หากไม่มีพื้นที่ชุ่มน้ำ การพัฒนาที่ยั่งยืนจะไม่มีทางบรรลุผลสำเร็จ” Martha Rojas Urrego เลขาธิการอนุสัญญาแรมซาร์ว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำกล่าวในแถลงการณ์

เราจำเป็นต้องดำเนินการร่วมกันอย่างเร่งด่วน เพื่อลดแนวโน้มการสูญเสีย และความเสื่อมโทรมของพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่พื้นที่ชุ่มนน้ำและอนาคตของมนุษชาติไปในคราวเดียวกัน

ในงานวิจัย Bridgewater และ Kim กล่าวชื่นชมถึงอนุสัญญาแรมซาร์ว่ามีผลดีในแง่บวกต่อการเพิ่มความรับรู้การสร้างแรงจูงใจให้ประเทศส่วนใหญ่ร่วมเป็นสมาชิกตลอดจนการสร้างภาคีเครือข่ายพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่กลับเห็นว่า ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จจริงดังที่หวัง

นักวิจัยทั้งสองวิพากษ์ว่า บ่อยครั้งที่การปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นเพียงเรื่องที่เกิดบนหน้ากระดาษเท่านั้น ส่วนในพื้นที่จริงเกิดความเปลี่ยนแปลงในการปกป้องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าการขยายรายชื่อแรมซาร์ไซต์ ยังไม่เพียงพอต่อการยกระดับสถานะการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำได้พวกเขาเขียนไว้ในรายงานแม้ว่าเมื่อขาดสิ่งนี้ไป อาจมีผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า

เพื่อให้เกิดการปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลกอย่างแท้จริง นักวิจัยกล่าวว่า การประชุมจำเป็นต้องมุ่งเชื่อมโยงกับแผนการอนุรักษ์ระดับโลกอื่นๆ ให้ดีขึ้น เปลี่ยนจุดสนใจจากการรวบรวมสถานที่ แต่ต้องทำให้มั่นใจว่าสถานที่ที่จัดตั้งขึ้นแล้ว จะได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และใช้ความเข้าใจแบบองค์รวมมากขึ้นเกี่ยวกับนิเวศวิทยาพื้นที่ชุ่มน้ำ และอุทกวิทยาที่พิจารณาจากอิทธิพลของภูมิทัศน์โดยรอบ

คืนความสมดุลที่มีความสำคัญระหว่างผู้คน พื้นที่ชุ่มน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพที่เหลืออยู่ในยุคสมัยแอนโทรโปซีน


อ้างอิง Researchers urge better protection as wetlands continue to vanish

ผู้เขียน

Website | + posts

ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม