คำสั่งปิดเมืองให้อยู่กับบ้านควรจะเป็นเหมือนสวรรค์ของพวก Introvert แต่กลับไม่ใช่

คำสั่งปิดเมืองให้อยู่กับบ้านควรจะเป็นเหมือนสวรรค์ของพวก Introvert แต่กลับไม่ใช่

คุณอาจจะมีความสุขกับตารางของคุณมากขึ้นจากงานที่ลดลงในช่วงที่ Coronavirus กำลังระบาดอย่างหนัก แต่เชื่อสิว่าคุณเริ่มรู้สึกอึดอัดแล้ว มันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับพวกชอบเก็บตัว แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย COVID-19 นั้นคือหายนะของชีวิตสังคมยุคใหม่

สำหรับพวก Introvert (ผู้ที่มีบุคลิกชอบการเก็บตัว) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการเก็บตัวก็ได้ ที่ครั้งหนึ่งคุณเคยโดนเพื่อน ๆ ว่า ว่าทำไมถึงไม่ยอมออกมาสังสรรค์แทนการอยู่กับบ้านดูซีรี่ย์หรืออ่านหนังสือที่คุณชอบบ้าง แต่กลายเป็นว่าตอนนี้การกระทำที่คุณชอบนั้นถือว่าเป็นการช่วยประเทศชาติไปซะแล้ว

ตั้งแต่ในช่วงต้นเดือนมีนาคมแล้วที่หลายประเทศนั้นมีนโยบายให้ประชาชนนั้นหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนแล้วอยู่แต่กับบ้าน Introvert หลายคนได้ใช้ความเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการอยู่บ้านตีพิมพ์งานเขียนต่าง ๆ เกี่ยวกับความสุขของการอยู่คนเดียว Andrew Ferguson ได้เขียนไว้ว่า “COVID-19 สร้างความสบายใจอย่างมากให้แก่หมู่คนชอบเก็บตัว”

เมื่อผู้คนเริ่มปรับตัวเข้ากับการถูกทำให้โดดเดี่ยว พวกเขาก็จะพยายามานำชีวิตปกติของพวกเขากลับมาให้ได้มากที่สุด ห้องนั่งเล่นจากที่เคยเป็นแค่ห้องนั่งเล่น ตอนนี้มันได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นทั้งยิม ร้านกาแฟ และสถานที่พบปะสังสรรค์ ถึงแม้ว่าจะต้องกักตัวแต่ผู้คนก็ยังสามารถจะสังสรรค์กันได้ผ่านโปรแกรมต่าง ๆ หรืออาจจะแก้เบื่อด้วยการนั่งดูหนังดูซีรี่ย์

ผู้คนกำลังรับมือกับการระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยการยกระดับชีวิตของพวกเขาและพยายามสร้างสิ่งเสมือนจริงมาแทนสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไป แต่อย่างไรก็ตามสิ่งเสมือนจริงอันใหม่นี้ก็ไม่อาจจะแทนที่ได้ทั้งหมด แอพพลิเคชั่นการประชุมนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทดแทนการประชุมจริง ๆ ได้ทุกด้าน หนังและซีรี่ย์ก็ไม่ได้สามารถทดแทนประสบการณ์ตรงได้ทั้งหมด ผลก็คือไม่ว่าคุณจะเป็นพวกชอบเก็บตัวหรือพวกชอบเข้าสังคมหรืออยู่กลาง ๆ ก็ตาม คุณจะเริ่มรู้สึกแปลก ๆ จากการถูกวิธีการเข้าสังคมแบบใหม่ค่อย ๆ เข้าครอบงำชีวิตคุณ

Tarek นักศึกษากฎหมายคนหนึ่งในเมืองนิวยอร์กกล่าว “ในตอนแรกฉันรู้สึกว่ามันสนุกมาก มันเป็นเรื่องดีที่รู้ว่าหลายคนกำลังใช้วิธีเดียวกันในการที่จะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน” แต่หลังจากนั้นแค่สามวันในการต้องมาเชคชื่อเข้าเรียนออนไลน์ ประชุมงานผ่านโปรแกรม Zoom และไหนยังต้องมาโทรคุยกับครอบครัวและเพื่อน ๆ อีก เขาก็เริ่มเหนื่อยกับการทำแบบนี้ และเริ่มที่จะไม่รับโทรศัพท์เวลามันดังขึ้น

มันยากในการรับมือกับการเข้าสังคมในสถานการณ์การแพร่ระบาดแบบนี้ที่ต่างคนต่างก็ต้องดูแลตัวเอง คุณจะรักษาความสัมพันธ์ของคนรอบ ๆ ตัวคุณไว้ได้อย่างไร ไม่ให้ตัวคุณดูเหมือนเป็นคนไม่ดีในสายตาคนรอบข้าง แค่คิดว่าจะบอกคนอื่น ๆ เวลานั่งคุยกันผ่าน Zoom ว่าคุณอยากได้เวลาอยู่คนเดียวกับตัวเองบ้างก็ลำบากแล้ว ในเมื่อคุณก็อยู่คนเดียวตลอดเวลาอยู่แล้ว

Jaya Saxena นักเขียนของ Eater ที่ในตอนนี้ต้องแยกกันอยู่กับคู่หมั้นของเธอ ได้กล่าวว่า “ไม่มีแผนการไหนหรอกที่จะทำให้คุณผ่านเรื่องนี้ไปได้ ข้ออ้างเพียงข้อเดียวในตอนนี้คือ “ฉันก็แค่ไม่อยากอ่ะ” และไม่มีใครอยากได้ยินใครพูดแบบนั้นหรอก”

ในตอนแรกนั้น Jaya ก็ไม่คิดหรอกว่าตัวเองก็จะมีพฤติกรรมแบบ Introvert แต่หลังจากการได้เห็นตารางเวลาของเธอนั้นเต็มไปด้วยการสังสรรค์ทางสังคมในรูปแบบเสมือนจริง เธอก็ได้พบความจริงว่าเธอไม่ได้อยากจะคุยกับใครผ่านวิดีโอมากนัก 

Jaya กล่าวว่า “ฉันรู้สึกไม่ดีเลย ฉันรักเพื่อน ๆ ของฉัน และฉันชอบที่ได้พูดคุยกับพวกเขา ฉันไม่อยากที่จะไม่คุยกับพวกเขา เพราะมันเหมือนกับการคุยกันทุกครั้งนั้นสำคัญต่อความรู้สึก และจิตใจของพวกเราทุกคน” และที่แย่ไปกว่านั้นการวิดีโอคุยกันนั้นเป็นทางเลือกเดียวที่จะสามารถเข้าสังคมได้ท่ามกลางวิกฤตการณ์เช่นนี้ 

พูดถึงการเป็นคนแบบ Extrovert และ Introvert จะบอกว่า Extrovert ชอบเอาแต่ออกไปข้างนอกแล้วเข้าสังคม และ Introvert นั้นชอบหมกอยู่แต่กับตัวเองก็อาจจะเกินจริงไปหน่อย ความจริงก็คือ Introvert ไม่ได้ต้องการที่จะอยู่คนเดียวตลอดเวลา และ Extrovert ก็สามารถที่จะมีความสุขไปกับช่วงเวลาอันเงียบสงบได้ แท้จริงแล้ววิธีที่จะแยกคนสองกลุ่มนี้ออกคือ วิธีการที่คนเหล่านี้ได้รับพลังงาน Extrovert นั้นได้รับพลังงานจากการเข้าสังคม และการอยู่ท่ามกลางผู้คน ส่วน Introvert นั้นได้รับพลังงานจากการใช้เวลาส่วนตัวพักผ่อนอยู่กับตัวเอง

Pamela Rutledge, Ph.D. นักวิทยาศาสตร์ทางสังคม และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยจิตวิทยาการสื่อสาร กล่าวว่า ตอนนี้หลายคนกำลังมีความวิตกกังวลมากมายเกี่ยวกับการแพร่กระจายของ Coronavirus แต่การจัดการกับความวิตกกังวลแบบอยู่แต่ในบ้านของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันมากมาย บางคนการอยู่บ้านนั้นหมายถึงอิสระ และเวลาที่มีมากขึ้น แต่สำหรับบางคนนั้นอาจหมายถึงสภาวะการทำงานที่ยากลำบากมากขึ้น

Pamela ได้เขียนไว้อีกว่า การใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยการให้พวก Introvert กักตัวเองอยู่กับคนอื่นมันก่อให้เกิดความเครียดตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์จะเกิดเสียอีก เพราะการอยู่แต่ในบ้านกับคนอื่นนั้น พวก Introvert จะต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนนั้นตลอดเวลา

การคุยสบาย ๆ กลายเป็นการประชุมเครียด ๆ

วิดีโอแชทกลายเป็นสิ่งทดแทนชีวิตการเข้าสังคมที่หายไปของคนส่วนใหญ่ กลายเป็นสถานที่เดียวที่จะสามารถเจอกับคนที่คุณอยากอยู่ด้วย แต่ไม่สามารถทำได้ Zoom FaceTime และ Google Hangouts นั้นเป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อการประชุม เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา และเปลี่ยนจากหัวหน้าเป็นคุยกับเพื่อน มันก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการประชุมอยู่ดี ไม่เหมือนกับการนั่งคุยกันจริง ๆ ที่คุณสามารถหันไปคุยทางไหนก็ได้ หรือจะเปลี่ยนไปคุยข้างนอกรับอากาศบริสุทธิ์ก็ได้

Stacy พนักงานคนหนึ่งที่ทำงานให้กับบริษัทเทคโนโลยีทางการศึกษาได้กล่าวว่า ปกติเธอเจอเพื่อน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อเล่น Dungeons & Dragons ตอนนี้เกมได้ถูกย้ายให้ไปเล่นผ่านระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์แทน โดยเธอจะได้เห็นเพื่อนของเธอผ่านแค่กล้องบนจอคอมเหมือนตอนประชุมงาน เกมก็ยังสนุกอยู่เหมือนเดิม แต่มันยากที่จะรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเดิม ส่วนวิดีโอก็มีความ lag times (ความไม่ต่อเนื่องของวิดีโอจากความไม่เสถียรของอินเตอร์เน็ต) มันยากที่จะเข้าใจเวลาคนหลายคนพูดผ่านระบบพร้อม ๆ กัน พวกเราเลยต้องแก้ปัญหาโดยการให้พูดทีละคนแทนหรือไม่ก็ไม่พูดกันเลย แต่ก็ยังเกิดปัญหา lags อยู่ดี มันยากมากที่จะเข้าใจเวลาคนหนึ่งพูดในขณะที่สัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่เสถียร ซึ่งปัญหาต่อมาก็คือการอ่านภาษากายหรือการอ่านปากซึ่งเป็นอะไรที่เข้าใจยากมาก

Pamela Rutledge ยังได้กล่าวถึงโปรแกรมการประชุมว่า “มันไม่มีคำว่าปกติ” เมื่อใดก็ตามที่คุณใช้โปรแกรมเหล่านี้จิตของคุณจะกำหนดให้รู้สึกว่า “เรากำลังประชุมอยู่นะ” ซึ่งนั่นเพิ่มระดับความตึงเครียดขึ้นมาอยากมากสำหรับผู้คนเหล่านั้น 

แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าวิดีโอแชท โทรศัพท์ และการเล่นเกมด้วยกันผ่านทางออนไลน์ จะไม่สามารถแทนที่การกอดหรือการกินข้าวด้วยกัน แต่อย่างน้อยก็มีวิธีที่จะทำให้สามารถคลายความคิดถึงกันได้

Tarek ได้เสนอวิธีที่ใช้แก้ปัญหาความอึดอัดจากการใช้โปรแกรมการประชุมว่าวิดีโอแชทนั้นรู้สึกเหมือนโดนสัมภาษณ์งานเลย ถ้าเป็นไปได้ควรจะปิดกล้องไปอย่างเช่นเวลาเข้าไปเรียนออนไลน์ก็ไม่ต้องเปิดกล้องก็ได้เพียงแต่นั่งฟังอาจารย์สอน “เหมือนเวลาคุณคุยโทรศัพท์เฉย ๆ คุณไม่ค่อยรู้สึกถึงระยะเวลาเท่าไร แม้ว่ามันอาจจะสั้นหรือยาว แถมคุณยังสามารถเดินเล่นหรือทำอย่างอื่นไปด้วยก็ได้ และที่สำคัญคือคุณจะไม่รู้เหมือนว่าถูกใครสังเกตการณ์อยู่” และสิ่งที่สำคัญมากคือควรมีการจำกัดเวลาให้ตัวคุณเองได้พักบ้าง

Asst. Prof. Jennifer Grygiel อาจารย์ด้านการสื่อสารที่มหาวิทยาลัย Syracuse บอกว่า “การเข้าสังคมแบบเสมือนจริงนั้น มีข้อจำกัดหลายอย่างที่จะทำให้การสื่อสารนั้นดำเนินไปอย่างธรรมชาติ” เธอบอกว่ายังพอมีวิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่ ลองพยายามทำอย่างอื่นไปด้วยขณะที่คุณใช้โปรแกรมการประชุมผ่านวิดีโอ เช่น การเล่นเกมง่าย ๆ หรือการทำอาหาร เพื่อให้การพูดคุยดูไม่เกร็ง และเป็นธรรมชาติมากขึ้น หรือว่าคุณจะลองกลับไปใช้วิธีแบบเดิม ๆ อย่างเช่นการเขียนอีเมลคุยกัน แต่ว่าไม่ควรย้อนกลับไปเยอะเกินจนถึงยุคที่คุณเขียนจดหมาย แน่นอนมันไม่ใช่แค่ความลำบากที่คุณต้องคอยอยู่บ้านมารอรับจดหมาย แต่มันยังหมายถึงความเสี่ยงของพนักงานไปรษณีย์ที่มีมากขึ้น และทรัพยากรที่ต้องใช้ในการเขียนและส่งจดหมายที่เยอะขึ้นอีกด้วย

 


ถอดความและเรียบเรียงจาก Lockdown was supposed to be an introvert’s paradise. It’s not.
ถอดความและเรียบเรียงโดย วณัฐพงศ์ ศิริวิภานันท์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร